วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติสตีเว่น เจอร์ราร์ด

 สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานบทใหม่ของลิเวอร์พูล
 
สตีเว่น เจอร์ราร์ด
สตีเว่น เจอร์ราร์ด มีชื่อเต็มว่า สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล เข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการลงเล่นให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล โดยในตอนที่อายุ 9 ขวบ เขาเป็นมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส และก็เล่นได้ดี จนเกือบจะก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชน
มีนิคเนมว่า "สตีวี่จี" เป็นกองกลางพลังไดนาโม โดยเริ่มแจ้งเกิดมาในตำแหน่งปีกขวา นอกจากนั้นยังสามารถเล่นเป็นแบ๊กขวาได้อีกด้วย และยังขยับมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับ ได้อีกด้วย แต่ด้วยการที่เป็นนักเตะที่มีความสามารถทั้งการช่วยเกมรับ และการเติมเกมรุก แถมยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด ค่อยๆเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุกไปแล้ว
เจ้าของหมายเลข 8 ของทีมลิเวอร์พูล เป็นแฟนบอลของลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ในวัยเด็ก จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นกัปตันทีมโปรดของเขาสมใจนึก มาตั้งแต่ฤดูกาล 2003/2004 และเป็นนักเตะที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ ทั้งการทำงานหนักในสนาม และการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยในฤดูกาล 2003/2004 เจอร์ราร์ด ที่ต้องคอยไล่ตัดเกมรุกของคู่ต่อสู้ด้วยนั้น โดนใบเหลืองไปแค่ 2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่เล่นบอลอย่างขาวสะอาดมากคนหนึ่ง
สตีวี่จี เป็นที่นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ หลังจากที่มาเข้าร่วมชายคาของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 1989 และค่อยๆพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆในโรงเรียนนักเตะของ "หงส์แดง" ที่สร้างนักเตะอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มาโด่งดังไปแล้ว ก่อนจะปั้น ไมเคิ่ล โอเว่น และ เจอร์ราร์ด ขึ้นมาโด่งดังเป็นรุ่นต่อมา
เจอร์ราร์ด ลงประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไปแทน เวการ์ด เฮกเก้ม ในนัดที่ "หงส์แดง" พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ก่อนจะมาได้ลงสนามเป็นตัวจริงเป็นนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พบกับ เซลต้า บีโก้ ในศึกยูฟ่า คัพ และแม้ว่า "หงส์แดง" จะแพ้ในนัดนั้น แต่ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเล่นได้ดี มีอนาคตในทีมอย่างแน่นอน
ในฤดูกาล 2000/2001 เจอร์ราร์ด เล่นดีมากๆจนได้รับตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ และพาทีม "หงส์แดง" คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ โดยสามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า คัพ ซึ่ง ลิเวอร์พูล กับ อลาเบส ได้อีกด้วย
ประตูแรกของ เจอร์ราร์ด ในทีมชาติอังกฤษ คือการยิงได้ในนัดที่ "สิงโตคำราม" บุกไปถล่มเอาชนะ เยอรมัน 5-1 ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนยุโรป โดยแมตช์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 และได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษ ก่อนที่ทีม "สิงโตคำราม" จะคว้าแชมป์กลุ่ม และผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ ในที่สุด
เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะกำลังสำคัญอันดับ 1 ของ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ ไมเคิ่ล โอเว่น ย้ายออกจากทีมไป เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน แม้ว่าจะมีข่าวลือมากมายเรื่องการย้ายทีมของเขา โดยเฉพาะในฤดูกาล 2004/2005 ที่มีข่าวลือออกมาตลอดทั้งฤดูกาล หลังจากที่ "สตีวี่จี" ยังไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่กับสโมสร และเขาเองก็ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจว่าจะปักหลักอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไปหรือไม่
แม้จะยังไม่รู้ว่าจะปักหลักอยู่ในแอนฟิลด์ ต่อไปหรือไม่ แต่ เจอร์ราร์ด ก็ยังทุ่มเทเต็มที่ในการลงสนามให้กับลิเวอร์พูล จนกระทั่งพาทีม "หงส์แดง" ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบพลิกความคาดหมาย ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ที่เข้ามาปฎิรูปทีม "หงส์แดง" จนกลายเป็นทีมที่มีอนาคตมากขึ้น
ความสำเร็จ
ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2004/2005 ลิเวอร์พูล ต้องพบกับ เอซี มิลาน ยอดทีมจาก อิตาลี ในการฟาดแข้งที่สนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี และก็ดูเหมือนว่า "หงส์แดง" จะต้องผิดหวังตั้งแต่การแข่งขันครึ่งแรก จบลง เมื่อเป็นฝ่ายตามหลังไปถึง 0-3 แต่ เจอร์ราร์ด ในฐานะกัปตันทีมก็ยังไม่ยอมแพ้ กระตุ้นให้ลูกทีมฮึดสู้ตามไปด้วย และเขาก็โหม่งประตูตีไข่แตกช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 1-3 พร้อมทั้งความหวัง หลังจากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ก็ยิงประตูช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 ท่ามกลางความหวังที่เพิ่มขึ้นอีกของพลพรรค "เดอะ ค็อป" ที่ช่วยกันร้องเพลง “You will never walk alon” กระหึ่มสนามอตาเติร์ก เร่งความฮึกเหิมให้กับนักเตะ "หงส์แดง" เข้าไปอีก ก่อนที่ ซาบี อลอนโซ่ จะมาทำประตูตีเสมอให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนบอล มิลาน ถึงกับตะลึง การแข่งขันนัดดังกล่าว ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ หลังจากที่ต่อเวลาพิเศษไปแล้ว ก็ยังเสมอกันอยู่ 3-3 และ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารชาวโปแลนด์ ก็ช่วยเซฟจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้แบบสุดมหัศจรรย์ โดยที่มีกัปตันทีมที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นไปรับถ้วยรางวัลชูขึ้นเหนือหัวประกาศให้โลกรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล และตัวเขาเอง และหลังจากจบการแข่งขันนัดดังกล่าว เจอร์ราร์ด ก็ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะย้ายออกจากทีมไปได้อย่างไร หลังจากที่มีค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้"
นอกจากจะพาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะทรงคุณค่าของการแข่งขัน และมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ แต่ก็โดน โรนัลดินโญ่ ดาวเตะบราซิเลียนของบาร์เซโลน่า เบียดคว้าตำแหน่งไปครอง นอจากนั้น เจอร์ราร์ด ยังอยู่ในอันดับ 3 ของรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีของบีบีซี อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในเดือน กรกฎาคม ปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงปิดฤดูกาล การเจรจาต่อสัญญาของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล ก็ล้มเหลวลงอีกครั้ง ท่ามกลางข่าวลือว่า เชลซี ยื่นข้อเสนอมาให้ เจอร์ราร์ด ย้ายมาร่วมทีม "สิงโตน้ำ เงินคราม" ด้วยค่าตัวมหาศาล 32 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงที่สุดในอังกฤษ และในวันที่ 5 กรกฎาคม ปีนั้น เจอร์ราร์ด ก็ออกมาประกาศว่าเขาอยากจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ หลังจากที่ยังตกลงเรื่องสัญญากับทางสโมสร ไม่ได้ซักที แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แฟนบอลของลิเวอร์พูล ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เจอร์ราร์ด เปลี่ยนใจในวันต่อมา และจัดการเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ไปอีก 4 ปี ในวันที่ 8 กรกฏาคม 2005 พร้อมกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เพื่อนร่วมทีมที่ก้าวมาจากโรงเรียนลูกหนังของลิเวอร์พูล ด้วยกัน
ในฤดูกาล 2005/2006 เจอร์ราร์ด ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมลิเวอร์พูล อีกเช่นเคย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่ตกลงไปเลย และพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยของเขา ที่ช่วยให้ "หงส์แดง" ตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 3-3 ก่อนจะไปเอาชนะได้ด้วยการดวลจุดโทษ โดยลูกยิงกลสุดสวยของเขา ยิงจากระยะประมาณ 35 หลา มีความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง และเป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ทำให้เขาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ได้รางวัลนี้ ต่อจาก จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกจอมเลื้อยของ "หงส์แดง" ที่เคยได้รางวัลนี้ ในปี 1988 จากการทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งล่สุด ทำให้ เจอร์ราร์ด สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ๆในระดับสโมสร ได้ครบทุกรายการแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ทำประตูได้ ในยูฟ่า คัพ นัดชิงชนะเลิศกับ อลาเบส ในปี 2001 ต่อด้วย ลีก คัพ ปี 2003 ตามด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ก่อนจะมายิงได้ในเอฟเอ คัพ ปี 2006
นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล แล้ว เจอร์ราร์ด ยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย และมีส่วนสำคัญในการพา "สิงโตคำราม" ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน ท่ามกลางความหวังของแฟนบอลเมืองผู้ดีว่า สตีวี่จี จะพาทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์โลกมาครองได้ อย่างที่เขาพา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย

ประวัติเดวิสเบคแคม


เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบคแฮม (อังกฤษ: David Robert Joseph Beckham) เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซีใน ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ของสหรัฐอเมริกา ด้วยค่าตัวประมาณ 50 ล้าน เหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลา 5 ปี โดยปัจจุบันได้เงินรายปีประมาณ 7.7 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะเล่นให้กับ เรอัลมาดริดโดยเบคแคมจะปรากฏตัวในโฆษณาของ อาดิดาส วอลต์ดิสนีย์ อีเอสพีเอ็น และ โมโตโรลา
เบคแฮมเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006
เบคแคมเป็นนักเตะหนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 113 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 2 และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 โดยยิงประตูให้ทีมชาติรวมทั้งหมด 17 ประตู
เบคแคมได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่

ประวัติ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ชื่อเสียงของเบคแคมเริ่มโด่งดังขึ้นในเดือนสิงหาคม 1996 เมื่อเขายิงลูกจากครึ่งสนามเข้าในนัดที่พบกับวิมเบิลดัน เขาติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1996 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบกับมอลโดวา ในฤดูกาลนี้เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอซึ่งโหวตโดยผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก
 ฟุตบอลโลก 1998
เบคแคมได้เล่นในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 1998ครบทุกนัด แต่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศสผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเกล็น ฮ็อดเดิลได้วิจารณ์ว่าเขาไม่มีสมาธิกับเกมฟุตบอล ทำให้เบคแคมไม่ได้ลงเล่นใน 2 นัดแรก เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในนัดที่อังกฤษชนะโคลัมเบีย 2-0 และทำประดูได้
เบคแฮมกลายเป็นตัวร้ายของทีมชาติ เมื่อได้รับใบแดงจากการทำฟาล์วนอกเกมกับดิเอโก ซิโมเน นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันรอบที่สอง การแข่งขันนัดนั้นเสมอกันและอังกฤษแพ้ในการยิงจุดโทษ สื่อมวลชนอังกฤษจึงกล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ในนัดนี้
ฤดูกาลทริปเปิลแชมป์ (1998-1999)
สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดในฤดูกาล 1998-1999 เมื่อสามารถคว้าแชมป์รายการสำคัญได้ถึง 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยเบคแคมมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำประตูการแข่งขันนัดสำคัญ ผลจากการเล่นที่มีประสิทธิภาพในฤดูกาลนี้ทำให้แฟนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้อภัยความผิดพลาดในฟุตบอลโลก และคอยปกป้องเบคแคมจากแฟนชาวอังกฤษของสโมสรอื่นที่ยังโจมตีเบคแคมอยู่
เมื่อชื่อเสียงของเบคแคมนอกสนามเริ่มโด่งดัง เขาเริ่มมีปัญหากับผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งมองว่าวิคตอเรีย เบคแคม ภรรยาของเขามีส่วนต่อพฤติกรรมแย่นอกสนาม ซึ่งทำให้เบคแคมไม่มีสมาธิกับการแข่งขันเท่าที่ควร
เบคแคมเริ่มกลับมาเอาชนะใจแฟนฟุตบอลอังกฤษได้อีกครั้ง เมื่อผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเควิน คีแกน ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้จัดการชั่วคราวในขณะนั้นมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับเบคแคม และสืบต่อมาถึงช่วงของ สเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการคนถัดมา เบคแคมมีบทบาทอย่างมากในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 โดยเฉพาะนัดที่เอาชนะทีมชาติเยอรมนี 5-1 และตีเสมอให้อังกฤษ 2-2 ในนัดที่เจอกับทีมชาติกรีซ ซึ่งทำให้อังกฤษเข้ารอบสุดท้ายในที่สุดฟุตบอลโลก 2002
เบคแคมได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลา คอรุญญ่า ในเดือนเมษายน 2002 จึงหมดสิทธิ์เล่นทั้งฤดูกาล แต่เขาหายทันการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม เขาทำประตูชัยในนัดที่พบกับอาร์เจนตินา แต่สุดท้ายอังกฤษแพ้ให้กับบราซิลในการแข่งขันรอบถัดมา
เบคแคมได้รับบาดเจ็บอีกครั้งต้นฤดูกาล 2002-03 และเริ่มเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม ความสัมพันธ์ของเขากับเฟอร์กูสันถึงจุดแตกหัก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 หลังการแข่งขันที่แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนบริเวณเหนือคิ้วของเบคแคมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีมของเบคแคมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
เบคแคมลงสนามกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งหมด 394 นัด ทำได้ 85 ประตู
เรอัล มาดริด
เดวิด เบคแคมเซ็นสัญญา 4 ปีกับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริดด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ และเดวิด เบคแคมสวมเสื้อหมายเลข 23 ที่เรอัล มาดริดแทนหมายเลข 7 สมัยเค้าเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสื้อของ เดวิด เบคแคม นั้นขายหมดทันทีในวันแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริด

 กาลาคติคอส

เดวิด เบคแคมคือหนึ่งในเหล่านักเตะซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังในสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริดไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ฟิโก้,ซีนาดีน ซีดาน,โรนัลโด้,ราอูล กอนซาเลซ,โรแบร์โต้ คาร์ลอสและอีเกร์ กาซียัสพวกเขาเหล่านี้ได้สร้างความสำเร็จให้กับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริดมาแล้วมากมาย และเค้าเรียกเหล่านักเตะนี้ว่า กาลาคติคอส

 ฟุตบอลโลก 2006

เบคแคมมีส่วนในการทำประตูในรอบแรกของฟุตบอลโลก 2006 และยิงได้ในนัดที่พบกับเอกวาดอร์รอบที่สอง ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง อย่างไรก็ตามในการแข่งขันกับโปรตุเกสในรอบถัดมา เบคแคมบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง และอังกฤษแพ้จุดโทษให้กับโปรตุเกสอีกครั้ง
หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก เบคแคมประกาศลาออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้รุ่นน้องคนอื่นเข้ามารับหน้าที่นี้แทน
 แอลเอ แกแลกซี่
หลังจากที่ยุคของกาลาคติคอสหมดลง เดวิด เบคแคม ได้เซ็นสัญญากับทางแอลเอ แกแลกซี่สโมสรเมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกาด้วยค่าเหนื่อยแพงถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เดวิด เบคแคมมีส่วนทำให้คนในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มหันมาดูฟุตบอลกันมากขึ้น ชีวิตค้าแข้งที่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกาของเขาดูเหมือนจะราบรื่นได้ไม่นาน เพราะเขาไม่ค่อยพอใจกับชีวิตค้าแข้งที่เมเจอร์ลีกเท่าไหร่ เดวิดสเบคแคมบอกทางผ่านสื่อว่าการที่ได้ไปเล่นให้กับเมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกานั้นสำหรับดาราอาจจะใช่ แต่สำหรับนักฟุตบอลที่แท้จริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และหลังจากนั้นเค้าได้ถูกยืมตัวให้กับทางสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานจึงทำให้เค้าคิดที่จะกลับมาเล่นให้กับสโมสรใหญ่ๆ อีกครั้
เอซี มิลาน
เมื่อครึ่งหลังฤดูกาลในปี 2008-2009ของสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี ได้ทำการยืมตัว เดวิด เบคแคม มาเล่นให้กับทีมจนจบฤดูกาล ซึ่งเขามีส่วนร่วมในการทำประตูมากมายให้กับสโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน จนทำให้ทีมได้รองแชมป์ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา
ความหวังที่ เดวิด เบคแคมต้องการมาเล่นให้กับยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลีอย่างสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานนั้น สิ่งเดียวที่เค้าหวังคือการที่จะได้ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเค้ารู้ตัวดีว่าถ้าเล่นในเมเจอร์ลีกต่อ นั่นจะทำให้ เดวิด เบคแคม ไม่สามารถโชว์ผลงานเท่าที่คาดคิดไว้ได้ เบคแคมจึงตัดสินใจทำทุกวิถีทางเพื่อให้มาเล่นกับสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เค้าต้องการและนั่นทำให้เค้ากับทางแอลเอ แกแลกซี่มีเรื่องบาดหมางกัน แต่ในที่สุดก็ทำข้อตกลงกันได้คือ หลังจากที่ เดวิด เบคแคม หมดสัญญาการยืมตัวจากสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานในฤดูกาลปี 2008-2009 แล้ว เดวิด เบคแคม จะกลับไปเล่นให้กับแอลเอ แกแลกซี่ทันทีและหลังจากหมดฤดูกาลกับทางแอลเอ แกแลกซี่ เดวิด เบคแคม จะกลับมาเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานอีกครั้งในฐานะนักเตะของสโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน ซึ่งคาดว่าจะกลับมาในเดือน พฤษจิกายนในปี 2009

ชีวิตส่วนตัว

เบคแคมแต่งงาน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 กับ วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวของวงสไปซ์ เกิร์ลส ฉายา "Posh Spice" ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างมาก ทั้งคู่ถูกเรียกจากสื่อว่า "Posh and Becks" และชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป
ครอบครัวเบคแคมมีลูกชาย 3 คน คือ บรุคลิน โจเซฟ เบคแคม (เกิด 1999) , โรมีโอ เจมส์ เบคแคม (เกิด 2002) และครูซ เดวิด เบคแคม (เกิด 2005)

ประวัติแฟรงค์ แลมพาร์ด

แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือ ชื่อเต็มๆว่า Frank James Lampard Jr. เกิดวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ที่ลอนดอน ในตระกูลนักฟุตบอล โดยพ่อของเขาคือ แฟรงค์ ซีเนียร์ เป็นอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ลุงของเขา แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอลทอตแนมฮ็อตสเปอร์ และ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ญาติลูกพี่ลูกน้องก็เป็นนักเตะของเซาธ์แธมตันเช่นเดียวกัน การศึกษา จบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) แลมพ์ มีส่วนสูง ประมาณ 183 เซนติเมตร น้ำหนัก 89 กิโลกรัม แฟรงก์ แลมพาร์ด เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของสโมสรฟุตบอลเวสต์แฮม เคยถูกยืมตัวไปเล่นกับ Swansea ใน ค.ศ. 1995 และย้ายมาร่วมสโมสรฟุตบอลเชลซีใน ค.ศ. 2001 ติดฟุตบอลทีมชาติอังกฤษครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1996และยังเป็นมิตฟิวส์ที่ได้รับการยกย่องจากหลายแห่ง แม้ว่าผลงานตอนนี้จะแผ่วลงไปบ้าง ไม่ว่าจะกับทีมต้นสังกัด หรือทีมชาติอังกฤษ จากที่มีข่าวคราวว่าเล่นไม่เข้าขากับ Steven Gerrard กัปตันทีมลิเวอร์พูล น่าแปลกใจที่ทั้งสองเคยสนิทกัน แต่แม้กระทั่งงานแต่งงานของ gerrade ก็ไม่มี frank lampard ในงานเลี้ยงนั้น เมื่อ 22 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา แลมพาร์ด เป็นกองกลางที่ทำประตูได้ 130 ประตู ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นกองกลางคนที่สองต่อจาก แมธทิว ทริสเซอร์ ที่ทำประตูมากว่า 100 ประตูในพรีเมียร์ลีก
แฟรงค์ แลมพาร์ด เริ่มต้นอาชีพฟุตบอลกับสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยลงเล่นกับทีมเยาวชนตั้งแต่ ปี 1993 และสร้างผลงานได้ดีพอสมควร โดยเขายังเป็นลูกชายของแฟร้งค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ ผู้ช่วยคนสำคัญของแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์กุนซือเวสต์แฮมขณะนั้นซึ่งเป็นลุงของเขา
1994/1995 เซ็นสัญญาเป็นนักเตะกับสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่เขาก็ยังไม่ได้ลงเล่นในชุดใหญ่ โดยลงเล่นในทีมสำรองของสโมสรอย่างมุ่งมั่น
1995/1996 แล้วโอกาสสัมผัสเกมกับทีมชุดใหญ่ก็เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ชิพ และเขาลงเล่นให้เวสต์แฮม 2 นัดก็ถูกปล่อยตัวให้ สวอนซี ทีมในดิวิชั่น 2 ยืมตัวไปใช้งาน โดยลงเล่นกับสวอนซี 9 นัด ทำได้ 1 ประตู
1996/1997 หลังจากกลับมาจากการยืมตัวเขาก็ได้ลงเล่นให้ทีมมากขึ้นในฤดูกาลต่อมา โดยลงเล่นอีก 13 นัด แต่ก็มาโชคร้ายกระดูกขาขวาแตกในนัดปะทะกับแอสตัน วิลล่า ทำให้ต้องพักยาว
1997/1998 กลับมาเล่นให้ทีมอีกครั้ง โดยยึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ และลงเล่นทั้งหมด 31 นัด ทำได้ 4 ประตู กลายเป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งขวัญใจกองเชียร์ทีมขุนค้อน จากผลงานอย่างต่อเนื่องกับเวสต์แฮมทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก
1998/1999 ยังคงเล่นกับเวสต์แฮมอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ผลงานของทีมจะไปได้ไม่ไกลนัก แต่ชื่อของแฟร้งค์ แลมพาร์ดก็เริ่มเข้าไปอยู่ในใจของบรรดากุนซือทั้งหลาย โดยเขาลงเล่นให้เวสต์แฮม 38 นัด ทำได้ 5 ประตู
1999/2000 ฤดูกาลนี้เวสต์แฮมผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าคัพ โดยผ่านการคัดเลือกจากถ้วยอินเตอร์โตโต้คัพด้วย ซึ่งแลมพาร์ดก็ยังเล่นให้ทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเขาลงเล่นทั้งสิ้น 34 นัด ทำได้ 7 ประตู และเขาก็มีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ โดยเขาลงเล่นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรกับเบลเยี่ยมที่ Stadium of Light (Sunderland,England ) ในวันที่10 ตุลาคม 1999
2000/2001 เขาเป็นนักเตะที่ผลงานคงเส้นคงวามากที่สุดคนหนึ่งในพรีเมียร์ชิพ โดยปีนี้เขาลงเล่น 30 นัด ทำได้ 7 ประตู แต่ผลงานของทีมก็ไม่น่าประทับใจนัก ซึ่งหลังจบฤดูกาลมีหลายทีมต่างให้ความสนใจในตัวเขา และก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในทีม พ่อและลุงของเขาถูกสโมสรไล่ออก ทำให้เขาเริ่มไม่มีความสุขกับทีมต้นสังกัด และก็เป็นกุนซือรานิเอรี่ ของเชลซีที่เสนอเงิน 11 ล้านปอนด์เพื่อซื้อเขาไปร่วมทีม
2001/2002 เขากลายมาเป็นนักเตะของเชลซีโดยเซ็นสัญญาในวันที่ 14 มิถุนายน 2001 ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ และเริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งที่ท้าทายใหม่อีกครั้ง โดยเขาลงเล่นเป็นมิดฟิลด์เคียงข้างกับเอมมานูเอล เปอร์ตี ซึ่งถือว่าเป็นคู่กองกลางที่แข่งแกร่งมาก เขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในฤดูกาลแรกของทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนัดชิงพ่ายกับอาร์เซนอล ซึ่งฤดูกาลนี้เองที่อาร์เซนอลคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่สอง โดยแลมพาร์ดลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 37 นัด ทำได้ 5 ประตู และ 1 ประตูจาก 4 เกมในยูฟ่าคัพ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้เขาจะโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีชื่อติดทีมชาติไปร่วมฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น
2002/2003 จากความผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมทีมไปฟุตบอลโลกทำให้เขาตั้งใจเล่นมากขึ้นกว่าเดิม และพยายามอย่างยิ่งที่จะไปยึดตัวจริงในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเลยทีเดียวโดยพาทีมคว้าอันดับ 4 ของลีก แย่งตำแหน่งการไปเล่นแชมเปี้ยนลีกให้ทีมได้สำเร็จ โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 6 ประตู และ 1 ประตูจาก 2 เกมในยูฟ่าคัพ จากผลงานที่ดีวันดีคืนของเขาทำให้เขามีโอกาสก้าวขึ้นไปติดทีมชาติบ่อยครั้งขึ้น
2003/2004 ปีนี้เขาโชว์ฟอร์มได้ดีพอสมควร ทั้งในนามทีมชาติ และกับสโมสรโดยเขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 10 ประตู และ 4 ประตูจาก 14 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เขาได้รางวัลอันดับ 2 นักเตะยอดเยี่ยมของ PFA โดยเป็นรอง เธียร์รี่ อองรี นักเตะเวิร์ลคลาสของอาร์เซนอล และปีนี้เองเขายังทำประตูในนามทีมชาติเป็นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรพบกับโครเอเชีย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2003
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2004 ที่โปรตุเกสปีนี้เขามีชื่อเป็นตัวจริง ในฐานะนักเตะคนสำคัญของทีม เขาลงเล่นนัดแรกพบฝรั่งเศส และอังกฤษชนะไป 2-1 โดยแลมพาร์ด ทำได้ 1 ประตู ซึ่งนัดต่อมาพบ สวิตเซอร์แลนด์ เขาก็พาทีมชนะไป 3-0 โดยต่อมาพบกับ โครเอเชีย และแลมพาร์ดก็ยิงอีก 1 ประตูในชัยชนะ 4-2 แต่แล้วอังกฤษก็ต้องตกรอบต่อมาด้วยฝีมือเจ้าภาพ ในการดวลจุดโทษ
2004/2005 ปีนี้เองเชลซีมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยการมาของ โฮเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมคนใหม่ซึ่งพกดีกรีมามากมายทั้งแชมป์ลีกโปรตุเกส แชมป์ยูฟ่าคัพ และแชมป์เปี้ยนลีก เขาเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมมากมาย แต่แฟร้งค์ แลมพาร์ดก็ยังเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมรวมดาราโลกอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ทีมผิดหวังเขาพาทีมขึ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ และทะลุไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายของแชมป์เปี้ยนลีกแต่ก็พ่ายกับลิเวอร์พูลซึ่งเป็นแชมป์ของแชมป์เปี้ยนลีกในเวลาต่อมาไปด้วยประตูคาใจของแฟนเชลซีทั่วโลก นอกจากนี้ยังพาทีมได้แชมป์ลีกคัพอีกด้วย โดยในฤดูกาลนี้เขาลงเล่นทั้งสิ้น 38 นัด ทำได้ 13 ประตู และ 4 ประตูจาก 12 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก
2005/2006[1] เขายังโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างสม่ำเสมอ พาต้นสังกัดขึ้นสู่จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ด้วยคะแนนท่วมท้น และยังยิงประตูอย่างต่อเนื่อง โดยทำลายสถิติลงสนามติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ชิพของเดวิด เจมส์ที่ทำไว้ 159 นัดลงอย่างสิ้นเชิง โดยฤดูกาลนี้เขาทำได้ 20 ประตู เป็นประตูจากพรีเมียร์ลีก 16 ประตู จากการลงเตะ 35 นัด ซึ่งสูงที่สุดในบรรดากองกลางจากพรีเมียร์ลีก และ 2 ประตูจากลีกคัพ และอีก 2 ประตูจากยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และพาเชลซีได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกสมัย
2006/2007 ปีนี้เขาก็ยังยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทำได้ถึง 21 ประตูจากพรีเมียร์ลีก 11 ประตู จากการลงเตะ 36 (1) นัด เอฟเอคัพ 6 ประตู ลีกคัพ 3 ประตู ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 1 ประตู
2007/2008 ในปีนี้อาจเป็นปีที่โชคไม่ค่อยดีสำหรับเขา เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บและสูญเสียมารดา แต่ก็ยังสามารถทำประตูสำคัญได้จากจุดโทษในนัดเจอลิเวอร์พูล เกมยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบรองชนะเลิศ และฤดูกาลนี้เขาทำประตูได้ถึง 20 ประตู จากพรีเมียร์ลีก 10 ประตูจากการลงเตะ 23 (1) นัด เอฟเอคัพ 2 ประตู ลีกคัพ 4 ประตู และยูฟ่าแชมเปี้ยนลีค 4 ประตู
2008/2009 เขาต่อสัญญาใหม่ออกไปอีก 5 ปี และยังรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างดี ทำประตูในทุกรายการ 20 ประตู จากพรีเมียร์ลีก 12 ประตู จากการลงเตะ 37 นัด ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก 3 ประตู ลีกคัพ 2 ประตู และเอฟเอ คัพ 3 ประตู และเป็นประตูสำคัญให้ทีมกลับมาเอาชนะเอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ไปในที่สุด ด้วยฟอร์มของเขา ทำให้ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของเชลซี ประจำฤดูกาลนี้
2009/2010 เขาสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์กับเชลซีได้สำเร็จ โดยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกและ FA cup โดยยิงไปทั้งสิ้น 27 ประตูรวมทุกรายการ

                 เกียรติประวัติ

  • แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004-2005, 2005-2006
  • แชมป์เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2007, 2009
  • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2005, 2007
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ปี 2005

ประวัติกอนซาโล่ อิกวาอิน


Gonzalo Higuain / กอนซาโล่ อิกวาอิน


ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม :กอนซาโล่ เจอราร์โด้ อิกวาอิน
วันเกิด :10 ธันวาคม 1987
อายุ :21 ปี
เมืองเกิด :เบรสท์, ฝรั่งเศส
ส่วนสูง :184 cm
ตำแหน่ง :กองหน้า

สโมสรปัจจุบัน
สโมสร :รีล มาดริด
หมายเลขเสื้อ :20

สโมสรอาชีพ
ปี 2004-2006 :ริเวอร์ เพลท ลงเล่น 32 นัดยิงได้ 15 ประตู
ปี 2006- :รีล มาดริด ลงเล่น 81 นัดยิงได้ 32 ประตู

ทีมชาติ
ปี 2008 :อาร์เจนติน่า (ชุดโอลิมปิก) ลงเล่น 2 นัดยิงได้ 2 ประตู
ปี 2009- :อาร์เจนติน่า ยังไม่ได้ลงเล่น





ประวัติชิชาริโต้

    
                                                          วันเกิด :  1 มิถุนายน 1988
 
                                                สถานที่เกิด :  กัวดาลาจารา, เม็กซิโก
                                                          ตำแหน่ง :  ศูนย์หน้า
                                                            ส่วนสูง : 175 cm
                                                          หมายเลขเสื้อ  : 14
                                                ย้ายมาร่วมทีม : 1 กรกฎาคม 2010
              ลงเล่นนัดแรก :  8 สิงหาคม 2010 แมน ฯ ยู พบกับเชลซี ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์
                                                        ทีมชาติ  : เม็กซิโก
ประวัติ
ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เฮอร์นันเดซ ย้ายมาร่วมเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2010 และกลายเป็นนักเตะเม็กซิกัน คนแรกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เฮอร์นันเดซ ย้ายมาจากทีมชีวาส เดอ กัวดาลาจารา ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิดของเขา เขาเริ่มเล่นให้ทีมตั้งแต่ปี 2006 ลงเล่นทั้งหมด 79 นัด ทำประตูให้ทีมได้ 29 ประตู

การเจรจาซื้อตัวเจ้าหนุ่มชิชาริโต้เป็นไปด้วยความเงียบเชียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด มีเพียงสโมสร ตัวนักเตะเอง และพ่อของเขาเท่านั้นที่รับทราบ และทำการเจรจาตกลงกันเรื่องการย้ายทีม แม้แต่สื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อในเม็กซิโก หรืออังกฤษ ก็ไม่มีสื่อไหนรู้
"ชิชาริโต้" หมายถึง "ถั่วน้อย" ชื่อนี้มาจากการที่เขาเป็นลูกชายของฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ ศูนย์หน้าเม็กซิกันผู้โด่งดัง และมีชื่อในทีมชาติเม็กซิกันชุดสู้ศึกฟุตบอลโลกปี 1986 และเฮอร์นันเดซ ผู้พ่อ ก็มีฉายาว่า "ชิชาโร" หรือที่แปลว่า "ถั่ว" เพราะว่าเขามีดวงตาสีเขียว
ด้วยความเป็นศูนย์หน้าที่มีความคล่องแคล่ว ชิชาริโต้ เป็นนักเตะที่มีความเร็วสูง สามารถเล่นได้ทั้ง 2 เท้า เล่นลูกโหม่งได้ดี และสร้างสรรค์เกมที่มีคุณภาพ ซึ่งการเล่นของเขาทำให้เรานึกถึงนักเตะในตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ด คนหนึ่งนั่นก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
ในการเล่นทีมชาติ เขาได้ทำให้ทุกคนประทับใจมาแล้วจากการทำประตู 2 ประตูให้กับทีมชาติเม็กซิโก ในฟุตบอลโลกปี 2010 การทำประตูในทัวนาเมนต์นี้ได้เปิดตัวเขาต่อแฟนฟุตบอลทั่วโลก และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด เร่งคว้าตัวเขามาร่วมทีม

"เราเริ่มทำความรู้จักเขาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2009" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าว
"แมวมองของเราไปที่เม็กซิโก ในเดือนธันวาคม และได้ดูเขาเล่น 2-3 เกม รายงานผลของแมวมองออกมาว่าเขาเล่นได้ดีมาก ในตอนนั้นเราก็คิดว่าเราจะรออีกซักหน่อยเพราะตอนนั้นเขายังเด็กอยู่"
"แต่หลังจากนั้น เขาก็ติดทีมชาติ และผมคิดว่านั่นอาจจะสร้างปัญหาให้เรานิดหน่อย เพราะว่าถ้าเขาได้ร่วมเล่นในฟุตบอลโลก และเล่นได้ดี มันก็อันตรายทีเดียวที่เราอาจจะต้องเสียเขาไปให้กับทีมอื่น"
"ดังนั้น ผมจึงส่งหัวหน้าแมวมองของเรา จิม ลอว์เลอร์ ไปที่เม็กซิโกเป็นเวลา 3 สัปดาห์เพื่อดูเขาเล่น รวมทั้งศึกษาข้อมูลของเขาให้มากขึ้น รายงานของจิมเกี่ยวกับตัวเด็กคนนี้ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้น เราจึงส่งทนายความของสโมสรไปทำข้อตกลงในการย้ายทีม และเราก็ดีใจมากที่ได้เซ็นสัญญากับเขา"

ประวัติบีย่า

หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของสเปนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของ ดาวิด บีย่า รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบาเลนเซียในฤดูกาล 2004-05 ที่ผ่านมา

         เจ้าของสมญานาม 'El Guaje' (แปลว่าเจ้าหนู ในภาษา Astrian) เป็นหัวหอกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและสัญชาตญาณของการพังประตู การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ความเร็วและความครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทั้งสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว
         บีย่า เริ่มต้นการเล่นอาชีพเมื่อปี 1991 กับ ยูพี ลันเกรโอ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมสปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 1999 และประเดิมเกมในระดับลีก้า 2 ในฤดูกาล 2000-01 จากนั้น รีล ซาราโกซ่า ก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ในเกมระดับลา ลีก้า เป็นครั้งแรกในปี 2003

         ระหว่างที่ค้าแข้งกับ ซาราโกซ่า เป็นเวลา 2 ฤดูกาล บีย่า ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ด้วยการเฉือนรีล มาดริด และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ ในปี 2004 ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย เจ้าของแชมป์ลา ลีก้า ไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย
         ด้วยฟอร์มการถล่มประตูที่เฉียบขาด ทำให้ "เจ้าค้างคาว" ยอมทุ่มเงิน 12 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านบาท) เพื่อดึงตัว บีญ่า มาร่วมทีมในปี 2005
         ในฤดูกาล 2004-05 บีญ่าก็ตอบแทนค่าตัวได้คุ้มค่าทุกเซนต์เมื่อทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการทำ 25 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก จะเป็นรองก็แค่ ซามูแอล เอโต้ ดาวยิงของบาร์เซโลน่า ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดลา ลีก้า เพียงคนเดียวเท่านั้น โดย เขาสร้างความฮือฮาด้วยการกดแฮตทริกแรกให้บาเลนเซีย ด้วยการใช้เวลาเพียง 5 นาที ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา
         จากการทำประตูที่คงเส้นคงวาทำให้มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปจ้องที่จะคว้าตัวหัวหอกวัย 25 ปีไปล่าตาข่าย ซึ่งรวมถึง เชลซี แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย แต่ บาเลนเซีย ก็ไม่คิดที่จะปล่อยเสาหลักของทีมรายนี้ไปง่ายๆ จึงได้จับต่อสัญญาอยู่โยงในถิ่นเมสตาญ่า สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2013

         ในส่วนของทีมชาติ บีย่า ก็มีผลงานที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน โดย อดีตนักเตะตัวหลักของทีมชาติสเปน ชุดยู-21 เลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ ซาน มาริโน่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2005 นอกจากนั้น ยังช่วยทำยิงประตูในเกมเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก ที่พบกับ สโลวาเกีย ด้วย
         หลังจากที่ช่วยพาทีมกระทิงดุผ่านเข้ามาร่วมฟาดแข้งในรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมันแล้ว บีย่า ดาวยิงตัวเก่งของบาเลนเซีย ก็ยิงได้ 2 ประตูในนัดที่พบกับ ยูเครน และยิงจุดโทษในเกมที่พ่าย ฝรั่งเศส 1-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งแรกด้วยการทำ 3 ประตู

         ในปี 2008 สเปนเข้าแข่งฟุตบอลยูโร 2008 เป็นปีที่สร้างชื่อเสียงให้กับบีย่ามากที่สุด ขณะที่ทั้งโลกจับตามอง เฟร์นานโด ตอเรส แต่กลับเป็นบีย่า ที่ระเบิดฟอร์มในทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยประเดิมสนามกับทีมรัสเซีย เขากดไปถึง 3 เม็ด!! ซัดแฮทริคให้ทีมถล่มรัสเซียไป 4-1 จบทัวร์นาเม้นต์ สเปนคว้าแชมป์ไว้ได้ และเขาก็ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุด 4 ประตูด้วย
          และในศึก คอนเฟดเดเรชั่นคัพ ที่ผ่านมา บีย่า ซึ่งเป็นกำลังหลักของทีม ทำผลงานได้ 3 ประตูตลอดทัวร์นาเม้น ประตูสำคัญก็คือ การโหม่งประตูชัยให้สเปนเฉือนเอาชนะอิรักไปได้ 1-0 ช่วยให้สเปน ชนะรวด 3 นัด คว้าที่ 1 ของกลุ่มไปอย่างสบาย ก่อนจบทัวร์นาเม้นในอนดับที่ 3 ซึ่งตั้งแต่รอบตัดเชือกมา บีย่า ทำประตูไม่ได้เลย
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : ดาวิด บีย่า ซานเชซ
วันเกิด : 3 ธันวาคม 1981
เกิดที่ : ลันเกรโอ, อัสตูเรียส ประเทศสเปน
ครอบครัว : แต่งงานแล้วกับ แพทริเซีย มีลูกสาวชื่อ เซด้า ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2005
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 175 ซม.
นิคเนม : El Guaje
สโมสรปัจจุบัน : บาเลนเซีย
หมายเลขเสื้อ : 7


สโมสรอาชีพ (นับเฉพาะสถิติในลีก)
ปี สโมสร ลงเล่น
 ประตู

2000 - 2003 สปอร์ติ้ง กิฆอน 80
 38

2003 - 2005 รีล ซาราโกซ่า 73
 31

2005 - ปัจจุบัน บาเลนเซีย 129
 87


ทีมชาติ
2005 - ปัจจุบัน สเปน 49
 31

ประวัติปาโต้

แม้ จะเปิดตัวไม่หวือหวากับเอซี มิลาน แต่ไม่มีใครปฏิเสธว่า อเล็กซานเดอร์ ปาโต้ กำลังจะเดินตามรอยดาวเตะบราซิลเลี่ยนรุ่นพี่ๆ ในถิ่นซาน ซิโร่ นั่นคือ พัฒนาฝีเท้าจนก้าวสู่ระดับซูเปอร์สตาร์ได้ในอนาคต



ชื่อจริงๆ ของเขาก็คือ อเล็กซานเดอร์ โรดริเกซ ดา ซิลวา แต่สุดท้ายเขาเลือกใช้ชื่อเรียกเล่นง่ายๆ ในหมู่คนสนิทว่า "ปาโต้" ตามชื่อเมืองเกิดของเขาคือ ปาโต้ บรังโก้
ปาโต้ แปลว่า "เป็ด" จึงเป็นที่มาของฉายา "ปาโต้ เดอะ ดั๊ค" ที่เราคุ้นเคยในทุกวันนี้นั่นเอง
ปาโต้เริ่มต้นจากการเล่นฟุตซอล ตั้งแต่อายุ 4ขวบ และเดินสายแข่งจนชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วรัฐปาราน่า
ในปี 2000 เมื่อปาโต้อายุได้ 10 ปี เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเขาเคยได้รับบาดเจ็บกระดูกแตก และในการเข้ารับการเอ็กซเรย์รักษาก็ทำให้พบก้อนเนื้อที่แขน ซึ่งแพทย์ได้วินิจฉัยว่าจะกลายเป็นมะเร็งในอีก2 เดือนหากไม่ผ่าตัดออก
ครอบครัวของเขายากจนไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าผ่าตัด แต่คุณหมอเปาโล โรแบร์โต้ มุสซี่ ซึ่งสนิทสนมกับครอบครัวนี้ ได้ช่วยผ่าตัดเนื้อร้ายออกให้ โดยไม่คิดค่ารักษา
ช่วยให้ปาโต้ยังสามารถโลดแล่นในวงการลูกหนัง และด้วยพรสวรรค์ที่มีมากล้นของเขา ทำให้เจ้าตัวได้รับการทาบทามไปเล่นฟุตบอลอาชีพ โดยมีกุนซือหลายสโมสรให้ความสนใจ
สุดท้ายปาโต้ในวัย 11 ขวบก็มุ่งหน้าไปปอร์โต้ อเลเกร เพื่อทดสอบฝีเท้ากับสโมสรอินเตอร์นาซิอองนาล และถูกตอบรับเข้าเป็น 1 ในสมาชิกของทีมเยาวชน
เขาและเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีก 83คน ที่เก็บตัวพักในบ้านเดียวกัน ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวคือต้องการก้าวขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ของอินเตอร์นา ซิอองนาลให้ได้
หลังจากเพียรฝึกฝนตัวเองในทีมเยาวชนอยู่หลายปี ปาโต้ก็ได้รับโอกาสก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ และลงสนามนัดแรกให้อินเตอร์นาซิอองนาลในแมตช์ที่ชนะพัลไมรัส 4-1 เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2006


และชื่อของเขาก็โด่งดังข้ามคืน เมื่อหัวหอกวัย17 ปีผู้นี้ ยิง 1 ประตู และจ่ายอีก 3 ให้เพื่อนยิง
ปาโต้ทำประตูที่2 ให้ต้นสังกัดในเกมรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกของฟีฟ่าในปี 2006 ซึ่งอินเตอร์นาซิอองนาลชนะอัล อาห์ลี ไคโรไป 2-1
ด้วยประตูนี้ ทำให้ปาโต้ทำลายสถิติของเปเล่ ที่เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำสกอร์ในการแข่งขันระดับนานาชาติของฟีฟ่า ในวัน 17 ปี 102วัน (ของเปเล่ 17ปี 239 วัน ทำได้ในฟุตบอลโลก 1958)
ปาโต้ถูกเปลี่ยนตัวออกในเกมนัดชิงชนะเลิศรายการนั้น ก่อนที่อาเดรียโน่ กาบิรู เพื่อนร่วมทีมจะยิงประตูชัยช่วยให้อินเตอร์นาซิอองนาลคว้าแชมป์สโมสรโลกมา ครองได้สำเร็จ
จากผลงานที่แจ้งเกิดตัวเองอย่างสวยงามเช่นนี้ ทำให้ปาโต้ได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป ทั้งเบนฟิก้า, มิลาน, ยูเวนตุส, อินเตอร์, เชลซี, อาร์เซน่อล ฯลฯ
แต่สุดท้าย เขาก็เลือกย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ของทีมปีศาจแดงดำ โดยมิลานทุ่ม 22 ล้านยูโร ซื้อขาดสัญญาของเขาและประกาศคว้าตัว"เดอะ ดั๊ค" มาเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ส.ค. 2007
แต่ด้วยอายุยังไม่ครบ 18 ปีเต็ม ทำให้เขายังไม่สามารถลงเล่นได้ ต้องรอให้ถึงวันเกิดวันที่ 3 ส.ค. 2007
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่หมด เมื่อลีกอิตาลีมีการกำจัดโควตาผู้เล่นนอกอียู ทำให้ปาโต้ยังไม่สามารถลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการให้มิลานได้
เขาได้รับอนุญาตให้ลงเล่นได้แค่ในเกมอุ่นเครื่อง และเกมซ้อมเท่านั้น และเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ดีตั้งแต่เกมอุ่นเครื่องที่เสมอกับดินาโม เคียฟ 2-2 ในวันที่ 7 ก.ย. 2007 เมื่อโหม่งพังประตูได้
การรอคอยของปาโต้สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปิดตลาดซื้อขายรอบสองนับตั้งแต่วัน ที่  3 ม.ค. 2008 ทำให้วันรุ่งขึ้นเขากลยาเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการของมิลาน และเป็น 1 ใน 3 นักเตะโควตานอกอียูของสโมสร
ปาโต้ยิงประตูแรกในสีเสื้อปีศาจแดงดำ ทันทีที่ลงเล่นในเกมเซเรีย อา นัดแรก ซึ่งมิลานถล่มนาโปลี 5-2 เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2008


และทุกวันนี้ แม้จะมีคู่แข่งในแดนหน้ามากมาย แต่ปาโต้ก็ทุ่มเทเต็มที่เพื่อพัฒนาฝีเท้าของเขา เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ โดยมีสาวกรอสโซ่เนรี่ให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา
สำหรับผลงานในทีมชาติบราซิลนั้น เจ้าหนูปาโต้คว้าแชมป์เยาวชนอเมริกาใต้ในปี2007ร่วมกับทัพแซมบ้า ซึ่งทำให้พวกเขาทะลุเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกยู20ของฟีฟ่าในปีเดียวกัน
จากนั้นเดอะ ดั๊ค ถูกคาร์ลอส ดุงก้า กุนซือเซเลเซาเรียกตัวติดธงชุดลุยโอลิมปิก 2008ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้
ปัจจุบัน ปาโต้ก้าวขึ้นเป็น1ในขุมกำลังสำคัญของทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ เขายิงประตูแรกในนามทีมชาติได้ในเกมประเดิมนัดแรกกับสวีเดน ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2008
และเป็นอีกครั้งที่เขาทำลายสถิติของเปเล่ ในการใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทียิงประตูแรกให้ทัพเซเลเซาในเกมแรกที่ลงสนามด้วย
ทำเนียบความสำเร็จ
อินเตอร์นาซิอองนาล
แชมป์ฟีฟ่า สโมสรโลก 2006
แชมป์เรโคปา ซูดาเมริกาน่า 2007
แชมป์บราซิลเลี่ยน แชมเปี้ยนชิพ ยู-20
ทีมชาติบราซิล
แชมป์อเมริกาใต้ยู-20
แชมป์เซนได คัพ 2006
อันดับ 3 (เหรียญทองแดง)โอลิมปิก 2008