วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติสตีเว่น เจอร์ราร์ด

 สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานบทใหม่ของลิเวอร์พูล
 
สตีเว่น เจอร์ราร์ด
สตีเว่น เจอร์ราร์ด มีชื่อเต็มว่า สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล เข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการลงเล่นให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล โดยในตอนที่อายุ 9 ขวบ เขาเป็นมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส และก็เล่นได้ดี จนเกือบจะก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชน
มีนิคเนมว่า "สตีวี่จี" เป็นกองกลางพลังไดนาโม โดยเริ่มแจ้งเกิดมาในตำแหน่งปีกขวา นอกจากนั้นยังสามารถเล่นเป็นแบ๊กขวาได้อีกด้วย และยังขยับมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับ ได้อีกด้วย แต่ด้วยการที่เป็นนักเตะที่มีความสามารถทั้งการช่วยเกมรับ และการเติมเกมรุก แถมยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด ค่อยๆเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุกไปแล้ว
เจ้าของหมายเลข 8 ของทีมลิเวอร์พูล เป็นแฟนบอลของลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ในวัยเด็ก จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นกัปตันทีมโปรดของเขาสมใจนึก มาตั้งแต่ฤดูกาล 2003/2004 และเป็นนักเตะที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ ทั้งการทำงานหนักในสนาม และการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยในฤดูกาล 2003/2004 เจอร์ราร์ด ที่ต้องคอยไล่ตัดเกมรุกของคู่ต่อสู้ด้วยนั้น โดนใบเหลืองไปแค่ 2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่เล่นบอลอย่างขาวสะอาดมากคนหนึ่ง
สตีวี่จี เป็นที่นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ หลังจากที่มาเข้าร่วมชายคาของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 1989 และค่อยๆพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆในโรงเรียนนักเตะของ "หงส์แดง" ที่สร้างนักเตะอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มาโด่งดังไปแล้ว ก่อนจะปั้น ไมเคิ่ล โอเว่น และ เจอร์ราร์ด ขึ้นมาโด่งดังเป็นรุ่นต่อมา
เจอร์ราร์ด ลงประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไปแทน เวการ์ด เฮกเก้ม ในนัดที่ "หงส์แดง" พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ก่อนจะมาได้ลงสนามเป็นตัวจริงเป็นนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พบกับ เซลต้า บีโก้ ในศึกยูฟ่า คัพ และแม้ว่า "หงส์แดง" จะแพ้ในนัดนั้น แต่ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเล่นได้ดี มีอนาคตในทีมอย่างแน่นอน
ในฤดูกาล 2000/2001 เจอร์ราร์ด เล่นดีมากๆจนได้รับตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ และพาทีม "หงส์แดง" คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ โดยสามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า คัพ ซึ่ง ลิเวอร์พูล กับ อลาเบส ได้อีกด้วย
ประตูแรกของ เจอร์ราร์ด ในทีมชาติอังกฤษ คือการยิงได้ในนัดที่ "สิงโตคำราม" บุกไปถล่มเอาชนะ เยอรมัน 5-1 ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนยุโรป โดยแมตช์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 และได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษ ก่อนที่ทีม "สิงโตคำราม" จะคว้าแชมป์กลุ่ม และผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ ในที่สุด
เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะกำลังสำคัญอันดับ 1 ของ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ ไมเคิ่ล โอเว่น ย้ายออกจากทีมไป เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน แม้ว่าจะมีข่าวลือมากมายเรื่องการย้ายทีมของเขา โดยเฉพาะในฤดูกาล 2004/2005 ที่มีข่าวลือออกมาตลอดทั้งฤดูกาล หลังจากที่ "สตีวี่จี" ยังไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่กับสโมสร และเขาเองก็ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจว่าจะปักหลักอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไปหรือไม่
แม้จะยังไม่รู้ว่าจะปักหลักอยู่ในแอนฟิลด์ ต่อไปหรือไม่ แต่ เจอร์ราร์ด ก็ยังทุ่มเทเต็มที่ในการลงสนามให้กับลิเวอร์พูล จนกระทั่งพาทีม "หงส์แดง" ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบพลิกความคาดหมาย ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ที่เข้ามาปฎิรูปทีม "หงส์แดง" จนกลายเป็นทีมที่มีอนาคตมากขึ้น
ความสำเร็จ
ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2004/2005 ลิเวอร์พูล ต้องพบกับ เอซี มิลาน ยอดทีมจาก อิตาลี ในการฟาดแข้งที่สนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี และก็ดูเหมือนว่า "หงส์แดง" จะต้องผิดหวังตั้งแต่การแข่งขันครึ่งแรก จบลง เมื่อเป็นฝ่ายตามหลังไปถึง 0-3 แต่ เจอร์ราร์ด ในฐานะกัปตันทีมก็ยังไม่ยอมแพ้ กระตุ้นให้ลูกทีมฮึดสู้ตามไปด้วย และเขาก็โหม่งประตูตีไข่แตกช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 1-3 พร้อมทั้งความหวัง หลังจากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ก็ยิงประตูช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 ท่ามกลางความหวังที่เพิ่มขึ้นอีกของพลพรรค "เดอะ ค็อป" ที่ช่วยกันร้องเพลง “You will never walk alon” กระหึ่มสนามอตาเติร์ก เร่งความฮึกเหิมให้กับนักเตะ "หงส์แดง" เข้าไปอีก ก่อนที่ ซาบี อลอนโซ่ จะมาทำประตูตีเสมอให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนบอล มิลาน ถึงกับตะลึง การแข่งขันนัดดังกล่าว ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ หลังจากที่ต่อเวลาพิเศษไปแล้ว ก็ยังเสมอกันอยู่ 3-3 และ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารชาวโปแลนด์ ก็ช่วยเซฟจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้แบบสุดมหัศจรรย์ โดยที่มีกัปตันทีมที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นไปรับถ้วยรางวัลชูขึ้นเหนือหัวประกาศให้โลกรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล และตัวเขาเอง และหลังจากจบการแข่งขันนัดดังกล่าว เจอร์ราร์ด ก็ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะย้ายออกจากทีมไปได้อย่างไร หลังจากที่มีค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้"
นอกจากจะพาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะทรงคุณค่าของการแข่งขัน และมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ แต่ก็โดน โรนัลดินโญ่ ดาวเตะบราซิเลียนของบาร์เซโลน่า เบียดคว้าตำแหน่งไปครอง นอจากนั้น เจอร์ราร์ด ยังอยู่ในอันดับ 3 ของรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีของบีบีซี อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในเดือน กรกฎาคม ปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงปิดฤดูกาล การเจรจาต่อสัญญาของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล ก็ล้มเหลวลงอีกครั้ง ท่ามกลางข่าวลือว่า เชลซี ยื่นข้อเสนอมาให้ เจอร์ราร์ด ย้ายมาร่วมทีม "สิงโตน้ำ เงินคราม" ด้วยค่าตัวมหาศาล 32 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงที่สุดในอังกฤษ และในวันที่ 5 กรกฎาคม ปีนั้น เจอร์ราร์ด ก็ออกมาประกาศว่าเขาอยากจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ หลังจากที่ยังตกลงเรื่องสัญญากับทางสโมสร ไม่ได้ซักที แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แฟนบอลของลิเวอร์พูล ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เจอร์ราร์ด เปลี่ยนใจในวันต่อมา และจัดการเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ไปอีก 4 ปี ในวันที่ 8 กรกฏาคม 2005 พร้อมกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เพื่อนร่วมทีมที่ก้าวมาจากโรงเรียนลูกหนังของลิเวอร์พูล ด้วยกัน
ในฤดูกาล 2005/2006 เจอร์ราร์ด ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมลิเวอร์พูล อีกเช่นเคย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่ตกลงไปเลย และพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยของเขา ที่ช่วยให้ "หงส์แดง" ตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 3-3 ก่อนจะไปเอาชนะได้ด้วยการดวลจุดโทษ โดยลูกยิงกลสุดสวยของเขา ยิงจากระยะประมาณ 35 หลา มีความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง และเป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ทำให้เขาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ได้รางวัลนี้ ต่อจาก จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกจอมเลื้อยของ "หงส์แดง" ที่เคยได้รางวัลนี้ ในปี 1988 จากการทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งล่สุด ทำให้ เจอร์ราร์ด สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ๆในระดับสโมสร ได้ครบทุกรายการแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ทำประตูได้ ในยูฟ่า คัพ นัดชิงชนะเลิศกับ อลาเบส ในปี 2001 ต่อด้วย ลีก คัพ ปี 2003 ตามด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ก่อนจะมายิงได้ในเอฟเอ คัพ ปี 2006
นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล แล้ว เจอร์ราร์ด ยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย และมีส่วนสำคัญในการพา "สิงโตคำราม" ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน ท่ามกลางความหวังของแฟนบอลเมืองผู้ดีว่า สตีวี่จี จะพาทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์โลกมาครองได้ อย่างที่เขาพา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย

ประวัติเดวิสเบคแคม


เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบคแฮม (อังกฤษ: David Robert Joseph Beckham) เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซีใน ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ของสหรัฐอเมริกา ด้วยค่าตัวประมาณ 50 ล้าน เหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลา 5 ปี โดยปัจจุบันได้เงินรายปีประมาณ 7.7 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะเล่นให้กับ เรอัลมาดริดโดยเบคแคมจะปรากฏตัวในโฆษณาของ อาดิดาส วอลต์ดิสนีย์ อีเอสพีเอ็น และ โมโตโรลา
เบคแฮมเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006
เบคแคมเป็นนักเตะหนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 113 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 2 และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 โดยยิงประตูให้ทีมชาติรวมทั้งหมด 17 ประตู
เบคแคมได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่

ประวัติ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ชื่อเสียงของเบคแคมเริ่มโด่งดังขึ้นในเดือนสิงหาคม 1996 เมื่อเขายิงลูกจากครึ่งสนามเข้าในนัดที่พบกับวิมเบิลดัน เขาติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1996 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบกับมอลโดวา ในฤดูกาลนี้เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอซึ่งโหวตโดยผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก
 ฟุตบอลโลก 1998
เบคแคมได้เล่นในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 1998ครบทุกนัด แต่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศสผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเกล็น ฮ็อดเดิลได้วิจารณ์ว่าเขาไม่มีสมาธิกับเกมฟุตบอล ทำให้เบคแคมไม่ได้ลงเล่นใน 2 นัดแรก เขากลับมาลงสนามอีกครั้งในนัดที่อังกฤษชนะโคลัมเบีย 2-0 และทำประดูได้
เบคแฮมกลายเป็นตัวร้ายของทีมชาติ เมื่อได้รับใบแดงจากการทำฟาล์วนอกเกมกับดิเอโก ซิโมเน นักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขันรอบที่สอง การแข่งขันนัดนั้นเสมอกันและอังกฤษแพ้ในการยิงจุดโทษ สื่อมวลชนอังกฤษจึงกล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ในนัดนี้
ฤดูกาลทริปเปิลแชมป์ (1998-1999)
สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จสูงสุดในฤดูกาล 1998-1999 เมื่อสามารถคว้าแชมป์รายการสำคัญได้ถึง 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยเบคแคมมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำประตูการแข่งขันนัดสำคัญ ผลจากการเล่นที่มีประสิทธิภาพในฤดูกาลนี้ทำให้แฟนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้อภัยความผิดพลาดในฟุตบอลโลก และคอยปกป้องเบคแคมจากแฟนชาวอังกฤษของสโมสรอื่นที่ยังโจมตีเบคแคมอยู่
เมื่อชื่อเสียงของเบคแคมนอกสนามเริ่มโด่งดัง เขาเริ่มมีปัญหากับผู้จัดการทีมอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งมองว่าวิคตอเรีย เบคแคม ภรรยาของเขามีส่วนต่อพฤติกรรมแย่นอกสนาม ซึ่งทำให้เบคแคมไม่มีสมาธิกับการแข่งขันเท่าที่ควร
เบคแคมเริ่มกลับมาเอาชนะใจแฟนฟุตบอลอังกฤษได้อีกครั้ง เมื่อผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเควิน คีแกน ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้จัดการชั่วคราวในขณะนั้นมอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับเบคแคม และสืบต่อมาถึงช่วงของ สเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการคนถัดมา เบคแคมมีบทบาทอย่างมากในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 โดยเฉพาะนัดที่เอาชนะทีมชาติเยอรมนี 5-1 และตีเสมอให้อังกฤษ 2-2 ในนัดที่เจอกับทีมชาติกรีซ ซึ่งทำให้อังกฤษเข้ารอบสุดท้ายในที่สุดฟุตบอลโลก 2002
เบคแคมได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลา คอรุญญ่า ในเดือนเมษายน 2002 จึงหมดสิทธิ์เล่นทั้งฤดูกาล แต่เขาหายทันการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม เขาทำประตูชัยในนัดที่พบกับอาร์เจนตินา แต่สุดท้ายอังกฤษแพ้ให้กับบราซิลในการแข่งขันรอบถัดมา
เบคแคมได้รับบาดเจ็บอีกครั้งต้นฤดูกาล 2002-03 และเริ่มเสียตำแหน่งตัวจริงในทีม ความสัมพันธ์ของเขากับเฟอร์กูสันถึงจุดแตกหัก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 หลังการแข่งขันที่แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนบริเวณเหนือคิ้วของเบคแคมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีมของเบคแคมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
เบคแคมลงสนามกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งหมด 394 นัด ทำได้ 85 ประตู
เรอัล มาดริด
เดวิด เบคแคมเซ็นสัญญา 4 ปีกับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริดด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ และเดวิด เบคแคมสวมเสื้อหมายเลข 23 ที่เรอัล มาดริดแทนหมายเลข 7 สมัยเค้าเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสื้อของ เดวิด เบคแคม นั้นขายหมดทันทีในวันแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริด

 กาลาคติคอส

เดวิด เบคแคมคือหนึ่งในเหล่านักเตะซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังในสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริดไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ฟิโก้,ซีนาดีน ซีดาน,โรนัลโด้,ราอูล กอนซาเลซ,โรแบร์โต้ คาร์ลอสและอีเกร์ กาซียัสพวกเขาเหล่านี้ได้สร้างความสำเร็จให้กับสโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริดมาแล้วมากมาย และเค้าเรียกเหล่านักเตะนี้ว่า กาลาคติคอส

 ฟุตบอลโลก 2006

เบคแคมมีส่วนในการทำประตูในรอบแรกของฟุตบอลโลก 2006 และยิงได้ในนัดที่พบกับเอกวาดอร์รอบที่สอง ทำให้เขาเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง อย่างไรก็ตามในการแข่งขันกับโปรตุเกสในรอบถัดมา เบคแคมบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง และอังกฤษแพ้จุดโทษให้กับโปรตุเกสอีกครั้ง
หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก เบคแคมประกาศลาออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้รุ่นน้องคนอื่นเข้ามารับหน้าที่นี้แทน
 แอลเอ แกแลกซี่
หลังจากที่ยุคของกาลาคติคอสหมดลง เดวิด เบคแคม ได้เซ็นสัญญากับทางแอลเอ แกแลกซี่สโมสรเมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกาด้วยค่าเหนื่อยแพงถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เดวิด เบคแคมมีส่วนทำให้คนในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มหันมาดูฟุตบอลกันมากขึ้น ชีวิตค้าแข้งที่เมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกาของเขาดูเหมือนจะราบรื่นได้ไม่นาน เพราะเขาไม่ค่อยพอใจกับชีวิตค้าแข้งที่เมเจอร์ลีกเท่าไหร่ เดวิดสเบคแคมบอกทางผ่านสื่อว่าการที่ได้ไปเล่นให้กับเมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกานั้นสำหรับดาราอาจจะใช่ แต่สำหรับนักฟุตบอลที่แท้จริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และหลังจากนั้นเค้าได้ถูกยืมตัวให้กับทางสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานจึงทำให้เค้าคิดที่จะกลับมาเล่นให้กับสโมสรใหญ่ๆ อีกครั้
เอซี มิลาน
เมื่อครึ่งหลังฤดูกาลในปี 2008-2009ของสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี ได้ทำการยืมตัว เดวิด เบคแคม มาเล่นให้กับทีมจนจบฤดูกาล ซึ่งเขามีส่วนร่วมในการทำประตูมากมายให้กับสโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน จนทำให้ทีมได้รองแชมป์ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา
ความหวังที่ เดวิด เบคแคมต้องการมาเล่นให้กับยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลีอย่างสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานนั้น สิ่งเดียวที่เค้าหวังคือการที่จะได้ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเค้ารู้ตัวดีว่าถ้าเล่นในเมเจอร์ลีกต่อ นั่นจะทำให้ เดวิด เบคแคม ไม่สามารถโชว์ผลงานเท่าที่คาดคิดไว้ได้ เบคแคมจึงตัดสินใจทำทุกวิถีทางเพื่อให้มาเล่นกับสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เค้าต้องการและนั่นทำให้เค้ากับทางแอลเอ แกแลกซี่มีเรื่องบาดหมางกัน แต่ในที่สุดก็ทำข้อตกลงกันได้คือ หลังจากที่ เดวิด เบคแคม หมดสัญญาการยืมตัวจากสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานในฤดูกาลปี 2008-2009 แล้ว เดวิด เบคแคม จะกลับไปเล่นให้กับแอลเอ แกแลกซี่ทันทีและหลังจากหมดฤดูกาลกับทางแอลเอ แกแลกซี่ เดวิด เบคแคม จะกลับมาเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเอซี มิลานอีกครั้งในฐานะนักเตะของสโมสรฟุตบอลเอซี มิลาน ซึ่งคาดว่าจะกลับมาในเดือน พฤษจิกายนในปี 2009

ชีวิตส่วนตัว

เบคแคมแต่งงาน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 กับ วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวของวงสไปซ์ เกิร์ลส ฉายา "Posh Spice" ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างมาก ทั้งคู่ถูกเรียกจากสื่อว่า "Posh and Becks" และชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป
ครอบครัวเบคแคมมีลูกชาย 3 คน คือ บรุคลิน โจเซฟ เบคแคม (เกิด 1999) , โรมีโอ เจมส์ เบคแคม (เกิด 2002) และครูซ เดวิด เบคแคม (เกิด 2005)

ประวัติแฟรงค์ แลมพาร์ด

แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือ ชื่อเต็มๆว่า Frank James Lampard Jr. เกิดวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ที่ลอนดอน ในตระกูลนักฟุตบอล โดยพ่อของเขาคือ แฟรงค์ ซีเนียร์ เป็นอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ลุงของเขา แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอลทอตแนมฮ็อตสเปอร์ และ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ญาติลูกพี่ลูกน้องก็เป็นนักเตะของเซาธ์แธมตันเช่นเดียวกัน การศึกษา จบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) แลมพ์ มีส่วนสูง ประมาณ 183 เซนติเมตร น้ำหนัก 89 กิโลกรัม แฟรงก์ แลมพาร์ด เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของสโมสรฟุตบอลเวสต์แฮม เคยถูกยืมตัวไปเล่นกับ Swansea ใน ค.ศ. 1995 และย้ายมาร่วมสโมสรฟุตบอลเชลซีใน ค.ศ. 2001 ติดฟุตบอลทีมชาติอังกฤษครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1996และยังเป็นมิตฟิวส์ที่ได้รับการยกย่องจากหลายแห่ง แม้ว่าผลงานตอนนี้จะแผ่วลงไปบ้าง ไม่ว่าจะกับทีมต้นสังกัด หรือทีมชาติอังกฤษ จากที่มีข่าวคราวว่าเล่นไม่เข้าขากับ Steven Gerrard กัปตันทีมลิเวอร์พูล น่าแปลกใจที่ทั้งสองเคยสนิทกัน แต่แม้กระทั่งงานแต่งงานของ gerrade ก็ไม่มี frank lampard ในงานเลี้ยงนั้น เมื่อ 22 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา แลมพาร์ด เป็นกองกลางที่ทำประตูได้ 130 ประตู ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และเป็นกองกลางคนที่สองต่อจาก แมธทิว ทริสเซอร์ ที่ทำประตูมากว่า 100 ประตูในพรีเมียร์ลีก
แฟรงค์ แลมพาร์ด เริ่มต้นอาชีพฟุตบอลกับสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยลงเล่นกับทีมเยาวชนตั้งแต่ ปี 1993 และสร้างผลงานได้ดีพอสมควร โดยเขายังเป็นลูกชายของแฟร้งค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ ผู้ช่วยคนสำคัญของแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์กุนซือเวสต์แฮมขณะนั้นซึ่งเป็นลุงของเขา
1994/1995 เซ็นสัญญาเป็นนักเตะกับสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่เขาก็ยังไม่ได้ลงเล่นในชุดใหญ่ โดยลงเล่นในทีมสำรองของสโมสรอย่างมุ่งมั่น
1995/1996 แล้วโอกาสสัมผัสเกมกับทีมชุดใหญ่ก็เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ชิพ และเขาลงเล่นให้เวสต์แฮม 2 นัดก็ถูกปล่อยตัวให้ สวอนซี ทีมในดิวิชั่น 2 ยืมตัวไปใช้งาน โดยลงเล่นกับสวอนซี 9 นัด ทำได้ 1 ประตู
1996/1997 หลังจากกลับมาจากการยืมตัวเขาก็ได้ลงเล่นให้ทีมมากขึ้นในฤดูกาลต่อมา โดยลงเล่นอีก 13 นัด แต่ก็มาโชคร้ายกระดูกขาขวาแตกในนัดปะทะกับแอสตัน วิลล่า ทำให้ต้องพักยาว
1997/1998 กลับมาเล่นให้ทีมอีกครั้ง โดยยึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จ และลงเล่นทั้งหมด 31 นัด ทำได้ 4 ประตู กลายเป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งขวัญใจกองเชียร์ทีมขุนค้อน จากผลงานอย่างต่อเนื่องกับเวสต์แฮมทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก
1998/1999 ยังคงเล่นกับเวสต์แฮมอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ผลงานของทีมจะไปได้ไม่ไกลนัก แต่ชื่อของแฟร้งค์ แลมพาร์ดก็เริ่มเข้าไปอยู่ในใจของบรรดากุนซือทั้งหลาย โดยเขาลงเล่นให้เวสต์แฮม 38 นัด ทำได้ 5 ประตู
1999/2000 ฤดูกาลนี้เวสต์แฮมผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าคัพ โดยผ่านการคัดเลือกจากถ้วยอินเตอร์โตโต้คัพด้วย ซึ่งแลมพาร์ดก็ยังเล่นให้ทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเขาลงเล่นทั้งสิ้น 34 นัด ทำได้ 7 ประตู และเขาก็มีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ โดยเขาลงเล่นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรกับเบลเยี่ยมที่ Stadium of Light (Sunderland,England ) ในวันที่10 ตุลาคม 1999
2000/2001 เขาเป็นนักเตะที่ผลงานคงเส้นคงวามากที่สุดคนหนึ่งในพรีเมียร์ชิพ โดยปีนี้เขาลงเล่น 30 นัด ทำได้ 7 ประตู แต่ผลงานของทีมก็ไม่น่าประทับใจนัก ซึ่งหลังจบฤดูกาลมีหลายทีมต่างให้ความสนใจในตัวเขา และก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในทีม พ่อและลุงของเขาถูกสโมสรไล่ออก ทำให้เขาเริ่มไม่มีความสุขกับทีมต้นสังกัด และก็เป็นกุนซือรานิเอรี่ ของเชลซีที่เสนอเงิน 11 ล้านปอนด์เพื่อซื้อเขาไปร่วมทีม
2001/2002 เขากลายมาเป็นนักเตะของเชลซีโดยเซ็นสัญญาในวันที่ 14 มิถุนายน 2001 ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ และเริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งที่ท้าทายใหม่อีกครั้ง โดยเขาลงเล่นเป็นมิดฟิลด์เคียงข้างกับเอมมานูเอล เปอร์ตี ซึ่งถือว่าเป็นคู่กองกลางที่แข่งแกร่งมาก เขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในฤดูกาลแรกของทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนัดชิงพ่ายกับอาร์เซนอล ซึ่งฤดูกาลนี้เองที่อาร์เซนอลคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่สอง โดยแลมพาร์ดลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 37 นัด ทำได้ 5 ประตู และ 1 ประตูจาก 4 เกมในยูฟ่าคัพ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้เขาจะโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีชื่อติดทีมชาติไปร่วมฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น
2002/2003 จากความผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมทีมไปฟุตบอลโลกทำให้เขาตั้งใจเล่นมากขึ้นกว่าเดิม และพยายามอย่างยิ่งที่จะไปยึดตัวจริงในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเลยทีเดียวโดยพาทีมคว้าอันดับ 4 ของลีก แย่งตำแหน่งการไปเล่นแชมเปี้ยนลีกให้ทีมได้สำเร็จ โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 6 ประตู และ 1 ประตูจาก 2 เกมในยูฟ่าคัพ จากผลงานที่ดีวันดีคืนของเขาทำให้เขามีโอกาสก้าวขึ้นไปติดทีมชาติบ่อยครั้งขึ้น
2003/2004 ปีนี้เขาโชว์ฟอร์มได้ดีพอสมควร ทั้งในนามทีมชาติ และกับสโมสรโดยเขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 10 ประตู และ 4 ประตูจาก 14 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เขาได้รางวัลอันดับ 2 นักเตะยอดเยี่ยมของ PFA โดยเป็นรอง เธียร์รี่ อองรี นักเตะเวิร์ลคลาสของอาร์เซนอล และปีนี้เองเขายังทำประตูในนามทีมชาติเป็นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรพบกับโครเอเชีย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2003
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2004 ที่โปรตุเกสปีนี้เขามีชื่อเป็นตัวจริง ในฐานะนักเตะคนสำคัญของทีม เขาลงเล่นนัดแรกพบฝรั่งเศส และอังกฤษชนะไป 2-1 โดยแลมพาร์ด ทำได้ 1 ประตู ซึ่งนัดต่อมาพบ สวิตเซอร์แลนด์ เขาก็พาทีมชนะไป 3-0 โดยต่อมาพบกับ โครเอเชีย และแลมพาร์ดก็ยิงอีก 1 ประตูในชัยชนะ 4-2 แต่แล้วอังกฤษก็ต้องตกรอบต่อมาด้วยฝีมือเจ้าภาพ ในการดวลจุดโทษ
2004/2005 ปีนี้เองเชลซีมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยการมาของ โฮเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมคนใหม่ซึ่งพกดีกรีมามากมายทั้งแชมป์ลีกโปรตุเกส แชมป์ยูฟ่าคัพ และแชมป์เปี้ยนลีก เขาเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมมากมาย แต่แฟร้งค์ แลมพาร์ดก็ยังเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมรวมดาราโลกอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ทีมผิดหวังเขาพาทีมขึ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ และทะลุไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายของแชมป์เปี้ยนลีกแต่ก็พ่ายกับลิเวอร์พูลซึ่งเป็นแชมป์ของแชมป์เปี้ยนลีกในเวลาต่อมาไปด้วยประตูคาใจของแฟนเชลซีทั่วโลก นอกจากนี้ยังพาทีมได้แชมป์ลีกคัพอีกด้วย โดยในฤดูกาลนี้เขาลงเล่นทั้งสิ้น 38 นัด ทำได้ 13 ประตู และ 4 ประตูจาก 12 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก
2005/2006[1] เขายังโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างสม่ำเสมอ พาต้นสังกัดขึ้นสู่จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ด้วยคะแนนท่วมท้น และยังยิงประตูอย่างต่อเนื่อง โดยทำลายสถิติลงสนามติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ชิพของเดวิด เจมส์ที่ทำไว้ 159 นัดลงอย่างสิ้นเชิง โดยฤดูกาลนี้เขาทำได้ 20 ประตู เป็นประตูจากพรีเมียร์ลีก 16 ประตู จากการลงเตะ 35 นัด ซึ่งสูงที่สุดในบรรดากองกลางจากพรีเมียร์ลีก และ 2 ประตูจากลีกคัพ และอีก 2 ประตูจากยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และพาเชลซีได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกสมัย
2006/2007 ปีนี้เขาก็ยังยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทำได้ถึง 21 ประตูจากพรีเมียร์ลีก 11 ประตู จากการลงเตะ 36 (1) นัด เอฟเอคัพ 6 ประตู ลีกคัพ 3 ประตู ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 1 ประตู
2007/2008 ในปีนี้อาจเป็นปีที่โชคไม่ค่อยดีสำหรับเขา เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บและสูญเสียมารดา แต่ก็ยังสามารถทำประตูสำคัญได้จากจุดโทษในนัดเจอลิเวอร์พูล เกมยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบรองชนะเลิศ และฤดูกาลนี้เขาทำประตูได้ถึง 20 ประตู จากพรีเมียร์ลีก 10 ประตูจากการลงเตะ 23 (1) นัด เอฟเอคัพ 2 ประตู ลีกคัพ 4 ประตู และยูฟ่าแชมเปี้ยนลีค 4 ประตู
2008/2009 เขาต่อสัญญาใหม่ออกไปอีก 5 ปี และยังรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างดี ทำประตูในทุกรายการ 20 ประตู จากพรีเมียร์ลีก 12 ประตู จากการลงเตะ 37 นัด ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก 3 ประตู ลีกคัพ 2 ประตู และเอฟเอ คัพ 3 ประตู และเป็นประตูสำคัญให้ทีมกลับมาเอาชนะเอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ไปในที่สุด ด้วยฟอร์มของเขา ทำให้ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของเชลซี ประจำฤดูกาลนี้
2009/2010 เขาสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์กับเชลซีได้สำเร็จ โดยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกและ FA cup โดยยิงไปทั้งสิ้น 27 ประตูรวมทุกรายการ

                 เกียรติประวัติ

  • แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004-2005, 2005-2006
  • แชมป์เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2007, 2009
  • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2005, 2007
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ปี 2005

ประวัติกอนซาโล่ อิกวาอิน


Gonzalo Higuain / กอนซาโล่ อิกวาอิน


ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม :กอนซาโล่ เจอราร์โด้ อิกวาอิน
วันเกิด :10 ธันวาคม 1987
อายุ :21 ปี
เมืองเกิด :เบรสท์, ฝรั่งเศส
ส่วนสูง :184 cm
ตำแหน่ง :กองหน้า

สโมสรปัจจุบัน
สโมสร :รีล มาดริด
หมายเลขเสื้อ :20

สโมสรอาชีพ
ปี 2004-2006 :ริเวอร์ เพลท ลงเล่น 32 นัดยิงได้ 15 ประตู
ปี 2006- :รีล มาดริด ลงเล่น 81 นัดยิงได้ 32 ประตู

ทีมชาติ
ปี 2008 :อาร์เจนติน่า (ชุดโอลิมปิก) ลงเล่น 2 นัดยิงได้ 2 ประตู
ปี 2009- :อาร์เจนติน่า ยังไม่ได้ลงเล่น





ประวัติชิชาริโต้

    
                                                          วันเกิด :  1 มิถุนายน 1988
 
                                                สถานที่เกิด :  กัวดาลาจารา, เม็กซิโก
                                                          ตำแหน่ง :  ศูนย์หน้า
                                                            ส่วนสูง : 175 cm
                                                          หมายเลขเสื้อ  : 14
                                                ย้ายมาร่วมทีม : 1 กรกฎาคม 2010
              ลงเล่นนัดแรก :  8 สิงหาคม 2010 แมน ฯ ยู พบกับเชลซี ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์
                                                        ทีมชาติ  : เม็กซิโก
ประวัติ
ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เฮอร์นันเดซ ย้ายมาร่วมเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2010 และกลายเป็นนักเตะเม็กซิกัน คนแรกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เฮอร์นันเดซ ย้ายมาจากทีมชีวาส เดอ กัวดาลาจารา ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิดของเขา เขาเริ่มเล่นให้ทีมตั้งแต่ปี 2006 ลงเล่นทั้งหมด 79 นัด ทำประตูให้ทีมได้ 29 ประตู

การเจรจาซื้อตัวเจ้าหนุ่มชิชาริโต้เป็นไปด้วยความเงียบเชียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด มีเพียงสโมสร ตัวนักเตะเอง และพ่อของเขาเท่านั้นที่รับทราบ และทำการเจรจาตกลงกันเรื่องการย้ายทีม แม้แต่สื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อในเม็กซิโก หรืออังกฤษ ก็ไม่มีสื่อไหนรู้
"ชิชาริโต้" หมายถึง "ถั่วน้อย" ชื่อนี้มาจากการที่เขาเป็นลูกชายของฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ ศูนย์หน้าเม็กซิกันผู้โด่งดัง และมีชื่อในทีมชาติเม็กซิกันชุดสู้ศึกฟุตบอลโลกปี 1986 และเฮอร์นันเดซ ผู้พ่อ ก็มีฉายาว่า "ชิชาโร" หรือที่แปลว่า "ถั่ว" เพราะว่าเขามีดวงตาสีเขียว
ด้วยความเป็นศูนย์หน้าที่มีความคล่องแคล่ว ชิชาริโต้ เป็นนักเตะที่มีความเร็วสูง สามารถเล่นได้ทั้ง 2 เท้า เล่นลูกโหม่งได้ดี และสร้างสรรค์เกมที่มีคุณภาพ ซึ่งการเล่นของเขาทำให้เรานึกถึงนักเตะในตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ด คนหนึ่งนั่นก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
ในการเล่นทีมชาติ เขาได้ทำให้ทุกคนประทับใจมาแล้วจากการทำประตู 2 ประตูให้กับทีมชาติเม็กซิโก ในฟุตบอลโลกปี 2010 การทำประตูในทัวนาเมนต์นี้ได้เปิดตัวเขาต่อแฟนฟุตบอลทั่วโลก และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด เร่งคว้าตัวเขามาร่วมทีม

"เราเริ่มทำความรู้จักเขาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2009" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าว
"แมวมองของเราไปที่เม็กซิโก ในเดือนธันวาคม และได้ดูเขาเล่น 2-3 เกม รายงานผลของแมวมองออกมาว่าเขาเล่นได้ดีมาก ในตอนนั้นเราก็คิดว่าเราจะรออีกซักหน่อยเพราะตอนนั้นเขายังเด็กอยู่"
"แต่หลังจากนั้น เขาก็ติดทีมชาติ และผมคิดว่านั่นอาจจะสร้างปัญหาให้เรานิดหน่อย เพราะว่าถ้าเขาได้ร่วมเล่นในฟุตบอลโลก และเล่นได้ดี มันก็อันตรายทีเดียวที่เราอาจจะต้องเสียเขาไปให้กับทีมอื่น"
"ดังนั้น ผมจึงส่งหัวหน้าแมวมองของเรา จิม ลอว์เลอร์ ไปที่เม็กซิโกเป็นเวลา 3 สัปดาห์เพื่อดูเขาเล่น รวมทั้งศึกษาข้อมูลของเขาให้มากขึ้น รายงานของจิมเกี่ยวกับตัวเด็กคนนี้ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้น เราจึงส่งทนายความของสโมสรไปทำข้อตกลงในการย้ายทีม และเราก็ดีใจมากที่ได้เซ็นสัญญากับเขา"

ประวัติบีย่า

หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของสเปนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของ ดาวิด บีย่า รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบาเลนเซียในฤดูกาล 2004-05 ที่ผ่านมา

         เจ้าของสมญานาม 'El Guaje' (แปลว่าเจ้าหนู ในภาษา Astrian) เป็นหัวหอกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและสัญชาตญาณของการพังประตู การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ความเร็วและความครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทั้งสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว
         บีย่า เริ่มต้นการเล่นอาชีพเมื่อปี 1991 กับ ยูพี ลันเกรโอ ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมสปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 1999 และประเดิมเกมในระดับลีก้า 2 ในฤดูกาล 2000-01 จากนั้น รีล ซาราโกซ่า ก็ได้หยิบยื่นโอกาสให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ในเกมระดับลา ลีก้า เป็นครั้งแรกในปี 2003

         ระหว่างที่ค้าแข้งกับ ซาราโกซ่า เป็นเวลา 2 ฤดูกาล บีย่า ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ด้วยการเฉือนรีล มาดริด และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ ในปี 2004 ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย เจ้าของแชมป์ลา ลีก้า ไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย
         ด้วยฟอร์มการถล่มประตูที่เฉียบขาด ทำให้ "เจ้าค้างคาว" ยอมทุ่มเงิน 12 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านบาท) เพื่อดึงตัว บีญ่า มาร่วมทีมในปี 2005
         ในฤดูกาล 2004-05 บีญ่าก็ตอบแทนค่าตัวได้คุ้มค่าทุกเซนต์เมื่อทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการทำ 25 ประตูจากการลงสนาม 35 นัดในลีก จะเป็นรองก็แค่ ซามูแอล เอโต้ ดาวยิงของบาร์เซโลน่า ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดลา ลีก้า เพียงคนเดียวเท่านั้น โดย เขาสร้างความฮือฮาด้วยการกดแฮตทริกแรกให้บาเลนเซีย ด้วยการใช้เวลาเพียง 5 นาที ในเกมที่บุกไปเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-0 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา
         จากการทำประตูที่คงเส้นคงวาทำให้มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปจ้องที่จะคว้าตัวหัวหอกวัย 25 ปีไปล่าตาข่าย ซึ่งรวมถึง เชลซี แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย แต่ บาเลนเซีย ก็ไม่คิดที่จะปล่อยเสาหลักของทีมรายนี้ไปง่ายๆ จึงได้จับต่อสัญญาอยู่โยงในถิ่นเมสตาญ่า สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2013

         ในส่วนของทีมชาติ บีย่า ก็มีผลงานที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน โดย อดีตนักเตะตัวหลักของทีมชาติสเปน ชุดยู-21 เลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ ซาน มาริโน่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2005 นอกจากนั้น ยังช่วยทำยิงประตูในเกมเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก ที่พบกับ สโลวาเกีย ด้วย
         หลังจากที่ช่วยพาทีมกระทิงดุผ่านเข้ามาร่วมฟาดแข้งในรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมันแล้ว บีย่า ดาวยิงตัวเก่งของบาเลนเซีย ก็ยิงได้ 2 ประตูในนัดที่พบกับ ยูเครน และยิงจุดโทษในเกมที่พ่าย ฝรั่งเศส 1-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนจะปิดฉากฟุตบอลโลกครั้งแรกด้วยการทำ 3 ประตู

         ในปี 2008 สเปนเข้าแข่งฟุตบอลยูโร 2008 เป็นปีที่สร้างชื่อเสียงให้กับบีย่ามากที่สุด ขณะที่ทั้งโลกจับตามอง เฟร์นานโด ตอเรส แต่กลับเป็นบีย่า ที่ระเบิดฟอร์มในทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยประเดิมสนามกับทีมรัสเซีย เขากดไปถึง 3 เม็ด!! ซัดแฮทริคให้ทีมถล่มรัสเซียไป 4-1 จบทัวร์นาเม้นต์ สเปนคว้าแชมป์ไว้ได้ และเขาก็ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุด 4 ประตูด้วย
          และในศึก คอนเฟดเดเรชั่นคัพ ที่ผ่านมา บีย่า ซึ่งเป็นกำลังหลักของทีม ทำผลงานได้ 3 ประตูตลอดทัวร์นาเม้น ประตูสำคัญก็คือ การโหม่งประตูชัยให้สเปนเฉือนเอาชนะอิรักไปได้ 1-0 ช่วยให้สเปน ชนะรวด 3 นัด คว้าที่ 1 ของกลุ่มไปอย่างสบาย ก่อนจบทัวร์นาเม้นในอนดับที่ 3 ซึ่งตั้งแต่รอบตัดเชือกมา บีย่า ทำประตูไม่ได้เลย
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : ดาวิด บีย่า ซานเชซ
วันเกิด : 3 ธันวาคม 1981
เกิดที่ : ลันเกรโอ, อัสตูเรียส ประเทศสเปน
ครอบครัว : แต่งงานแล้วกับ แพทริเซีย มีลูกสาวชื่อ เซด้า ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2005
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 175 ซม.
นิคเนม : El Guaje
สโมสรปัจจุบัน : บาเลนเซีย
หมายเลขเสื้อ : 7


สโมสรอาชีพ (นับเฉพาะสถิติในลีก)
ปี สโมสร ลงเล่น
 ประตู

2000 - 2003 สปอร์ติ้ง กิฆอน 80
 38

2003 - 2005 รีล ซาราโกซ่า 73
 31

2005 - ปัจจุบัน บาเลนเซีย 129
 87


ทีมชาติ
2005 - ปัจจุบัน สเปน 49
 31

ประวัติปาโต้

แม้ จะเปิดตัวไม่หวือหวากับเอซี มิลาน แต่ไม่มีใครปฏิเสธว่า อเล็กซานเดอร์ ปาโต้ กำลังจะเดินตามรอยดาวเตะบราซิลเลี่ยนรุ่นพี่ๆ ในถิ่นซาน ซิโร่ นั่นคือ พัฒนาฝีเท้าจนก้าวสู่ระดับซูเปอร์สตาร์ได้ในอนาคต



ชื่อจริงๆ ของเขาก็คือ อเล็กซานเดอร์ โรดริเกซ ดา ซิลวา แต่สุดท้ายเขาเลือกใช้ชื่อเรียกเล่นง่ายๆ ในหมู่คนสนิทว่า "ปาโต้" ตามชื่อเมืองเกิดของเขาคือ ปาโต้ บรังโก้
ปาโต้ แปลว่า "เป็ด" จึงเป็นที่มาของฉายา "ปาโต้ เดอะ ดั๊ค" ที่เราคุ้นเคยในทุกวันนี้นั่นเอง
ปาโต้เริ่มต้นจากการเล่นฟุตซอล ตั้งแต่อายุ 4ขวบ และเดินสายแข่งจนชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วรัฐปาราน่า
ในปี 2000 เมื่อปาโต้อายุได้ 10 ปี เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเขาเคยได้รับบาดเจ็บกระดูกแตก และในการเข้ารับการเอ็กซเรย์รักษาก็ทำให้พบก้อนเนื้อที่แขน ซึ่งแพทย์ได้วินิจฉัยว่าจะกลายเป็นมะเร็งในอีก2 เดือนหากไม่ผ่าตัดออก
ครอบครัวของเขายากจนไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าผ่าตัด แต่คุณหมอเปาโล โรแบร์โต้ มุสซี่ ซึ่งสนิทสนมกับครอบครัวนี้ ได้ช่วยผ่าตัดเนื้อร้ายออกให้ โดยไม่คิดค่ารักษา
ช่วยให้ปาโต้ยังสามารถโลดแล่นในวงการลูกหนัง และด้วยพรสวรรค์ที่มีมากล้นของเขา ทำให้เจ้าตัวได้รับการทาบทามไปเล่นฟุตบอลอาชีพ โดยมีกุนซือหลายสโมสรให้ความสนใจ
สุดท้ายปาโต้ในวัย 11 ขวบก็มุ่งหน้าไปปอร์โต้ อเลเกร เพื่อทดสอบฝีเท้ากับสโมสรอินเตอร์นาซิอองนาล และถูกตอบรับเข้าเป็น 1 ในสมาชิกของทีมเยาวชน
เขาและเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีก 83คน ที่เก็บตัวพักในบ้านเดียวกัน ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวคือต้องการก้าวขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ของอินเตอร์นา ซิอองนาลให้ได้
หลังจากเพียรฝึกฝนตัวเองในทีมเยาวชนอยู่หลายปี ปาโต้ก็ได้รับโอกาสก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ และลงสนามนัดแรกให้อินเตอร์นาซิอองนาลในแมตช์ที่ชนะพัลไมรัส 4-1 เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2006


และชื่อของเขาก็โด่งดังข้ามคืน เมื่อหัวหอกวัย17 ปีผู้นี้ ยิง 1 ประตู และจ่ายอีก 3 ให้เพื่อนยิง
ปาโต้ทำประตูที่2 ให้ต้นสังกัดในเกมรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกของฟีฟ่าในปี 2006 ซึ่งอินเตอร์นาซิอองนาลชนะอัล อาห์ลี ไคโรไป 2-1
ด้วยประตูนี้ ทำให้ปาโต้ทำลายสถิติของเปเล่ ที่เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำสกอร์ในการแข่งขันระดับนานาชาติของฟีฟ่า ในวัน 17 ปี 102วัน (ของเปเล่ 17ปี 239 วัน ทำได้ในฟุตบอลโลก 1958)
ปาโต้ถูกเปลี่ยนตัวออกในเกมนัดชิงชนะเลิศรายการนั้น ก่อนที่อาเดรียโน่ กาบิรู เพื่อนร่วมทีมจะยิงประตูชัยช่วยให้อินเตอร์นาซิอองนาลคว้าแชมป์สโมสรโลกมา ครองได้สำเร็จ
จากผลงานที่แจ้งเกิดตัวเองอย่างสวยงามเช่นนี้ ทำให้ปาโต้ได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป ทั้งเบนฟิก้า, มิลาน, ยูเวนตุส, อินเตอร์, เชลซี, อาร์เซน่อล ฯลฯ
แต่สุดท้าย เขาก็เลือกย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ของทีมปีศาจแดงดำ โดยมิลานทุ่ม 22 ล้านยูโร ซื้อขาดสัญญาของเขาและประกาศคว้าตัว"เดอะ ดั๊ค" มาเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ส.ค. 2007
แต่ด้วยอายุยังไม่ครบ 18 ปีเต็ม ทำให้เขายังไม่สามารถลงเล่นได้ ต้องรอให้ถึงวันเกิดวันที่ 3 ส.ค. 2007
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่หมด เมื่อลีกอิตาลีมีการกำจัดโควตาผู้เล่นนอกอียู ทำให้ปาโต้ยังไม่สามารถลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการให้มิลานได้
เขาได้รับอนุญาตให้ลงเล่นได้แค่ในเกมอุ่นเครื่อง และเกมซ้อมเท่านั้น และเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ดีตั้งแต่เกมอุ่นเครื่องที่เสมอกับดินาโม เคียฟ 2-2 ในวันที่ 7 ก.ย. 2007 เมื่อโหม่งพังประตูได้
การรอคอยของปาโต้สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปิดตลาดซื้อขายรอบสองนับตั้งแต่วัน ที่  3 ม.ค. 2008 ทำให้วันรุ่งขึ้นเขากลยาเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการของมิลาน และเป็น 1 ใน 3 นักเตะโควตานอกอียูของสโมสร
ปาโต้ยิงประตูแรกในสีเสื้อปีศาจแดงดำ ทันทีที่ลงเล่นในเกมเซเรีย อา นัดแรก ซึ่งมิลานถล่มนาโปลี 5-2 เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2008


และทุกวันนี้ แม้จะมีคู่แข่งในแดนหน้ามากมาย แต่ปาโต้ก็ทุ่มเทเต็มที่เพื่อพัฒนาฝีเท้าของเขา เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ โดยมีสาวกรอสโซ่เนรี่ให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา
สำหรับผลงานในทีมชาติบราซิลนั้น เจ้าหนูปาโต้คว้าแชมป์เยาวชนอเมริกาใต้ในปี2007ร่วมกับทัพแซมบ้า ซึ่งทำให้พวกเขาทะลุเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกยู20ของฟีฟ่าในปีเดียวกัน
จากนั้นเดอะ ดั๊ค ถูกคาร์ลอส ดุงก้า กุนซือเซเลเซาเรียกตัวติดธงชุดลุยโอลิมปิก 2008ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้
ปัจจุบัน ปาโต้ก้าวขึ้นเป็น1ในขุมกำลังสำคัญของทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ เขายิงประตูแรกในนามทีมชาติได้ในเกมประเดิมนัดแรกกับสวีเดน ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 26 มี.ค.2008
และเป็นอีกครั้งที่เขาทำลายสถิติของเปเล่ ในการใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทียิงประตูแรกให้ทัพเซเลเซาในเกมแรกที่ลงสนามด้วย
ทำเนียบความสำเร็จ
อินเตอร์นาซิอองนาล
แชมป์ฟีฟ่า สโมสรโลก 2006
แชมป์เรโคปา ซูดาเมริกาน่า 2007
แชมป์บราซิลเลี่ยน แชมเปี้ยนชิพ ยู-20
ทีมชาติบราซิล
แชมป์อเมริกาใต้ยู-20
แชมป์เซนได คัพ 2006
อันดับ 3 (เหรียญทองแดง)โอลิมปิก 2008

ประวัติอเนลก้า

 
นิโกล่าส์ อเนลก้า
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : นิโกล่าส์ อเนลก้า
วันเกิด : 14 มีนาคม 1979 (อายุ 29 ปี)
สถานที่เกิด : แวร์ซาลเลส, ฝรั่งเศส
ส่วนสูง : 6 ฟุต 1 นิ้ว (1.85 เมตร)
สโมสร : เชลซี (2008-ปัจจุบัน)
ตำแหน่ง : กองหน้า
เบอร์เสื้อ : 39
ประวัติความเป็นมา
 
หนึ่งในนักเตะจอมพเนจรที่ยังคงได้รับการยอมรับในฝีเท้าและสัญชาตญาณการเป็นศูนย์หน้าที่ยอดเยี่ยม ก็คงจะต้องมีชื่อของ "นิโก้" อยู่ในลำดับต้นๆ และตอนนี้เจ้าตัวก็พร้อมแล้วที่จะไล่ล่าความสำเร็จให้กับ เชลซี ต้นสังกัดใหม่
นิโกล่าส์ อเนลก้า ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในหัวหอกที่เฉียบคมที่สุดคนหนึ่งในยุโรป เพราะแม้ว่าจะเปลี่ยนสโมสรไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นักเตะเฟร้นช์แมนก็ยังคงเจาะตาข่ายคู่แข่งได้อย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดทีมเศรษฐีลอนดอนอย่าง เชลซี ก็ทุ่มเงิน 15 ล้านปอนด์ (ราว 1,000 ล้านบาท) ให้กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส เพื่อดึงตัว "นิโก้" มาร่วมทีมในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 ของฤดูกาล 2007-08
เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ
1995-1997 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
ถนนสายลูกหนังของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเข้าร่วมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยักษ์ใหญ่ของแดนน้ำหอม ตั้งแต่ชุดเยาวชน ก่อนจะได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี 1995 และด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาได้ไปเตะตา อาร์แซน เวนเกอร์ ยอดกุนซือชาวฝรั่งเศส ที่จับเขาเซ็นสัญญากับอาร์เซน่อล ในเดือนก.พ. 1997 ด้วยวัยเพียง 17 ปี พร้อมกับค่าตัวถึง 500,000 ปอนด์ (ราว 35 ล้านบาท) อันเป็นค่าตัวที่ถือว่าสูงมากสำหรับนักเตะวัยรุ่นในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนของ "ปืนใหญ่" ถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อ อเนลก้า กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทีมคว้าดับเบิลแชมป์ (พรีเมียร์ลีก+เอฟเอ คัพ) มาครองได้ในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งผลงานอันน่าประทับใจของเขาก็ทำให้ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอในซีซั่นถัดมา
อย่างไรก็ดี การเรียกร้องขอขึ้นค่าเหนื่อยมากเกินกว่าที่อาร์เซน่อลจะรับไหว ทำให้ "เดอะ กันเนอร์ส" ต้องยอมขายกองหน้าตัวเก่งของพวกเขาให้กับเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวมหาศาล 23 ล้านปอนด์ (ราว 1,600 ล้านบาท)
1997-2002 : เรอัล มาดริด, เปแอสเช, ลิเวอร์พูล
ชีวิตในถิ่น ซานดิอาโก้ เบอร์นาเบวของ อเนลก้า กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แฟนบอลราชันชุดขาวคาดหวัง และแม้ว่าจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ แต่สุดท้ายก็ถูกโละให้เปแอชเช อดีตต้นสังกัดเก่าด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ราว 1,400 ล้านบาท)
หลังจากที่อยู่ในปารีส มา 18 เดือน อเนลก้า ก็ได้หวนกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในเดือนม.ค. 2002 ด้วยสัญญายืมตัวกับลิเวอร์พูล และเขาก็สามารถช่วยให้ทีมหงส์แดง จบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 2 ของตาราง แต่ เชชาร์ อุลลิเย่ร์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ในเวลานั้นกลับไม่ยอมเสนอสัญญาแบบถาวรให้กับเขาและเลือกเซ็นสัญญากับ เอล ฮัดจิ-ดิยุฟ แทน
2002-2005 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
จากนั้น นิโก้ ก็เลือกย้ายไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ (ราว 840 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติของสโมสร "เรือใบสีฟ้า" เลยทีเดียว โดยเขาเลือกสวมเสื้อหมายเลข 39 อันเป็นเบอร์ที่เขาใช้ในการเล่นให้กับทีมอื่นๆ ต่อมาด้วย ทั้ง เฟร์เนบาห์เช่, โบลตัน, เชลซี และทีมชาติฝรั่งเศส
2005-2006 : เฟเนร์บาห์เช่
หัวหอกเลือดน้ำหอม ก็ชีพจรลงเท้าอีกครั้งเมื่อย้ายไปเล่นให้ทีมดังของตุรกีอย่าง เฟเนร์บาห์เช่ ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (ราว 490 ล้านบาท) ก่อนจะช่วยให้ต้นสังกัดใหม่คว้าแชมป์ลีกในปี 2005 ก่อนที่จะอกหักพลาดแชมป์ลีกในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2005-06 ต่อ กาลาตาซาราย
2006-2008 : โบลตัน วัลเดอเรอร์ส
วันที่ 25 ส.ค. 2006 โบลตัน ได้ออกมาประกาศว่า อเนลก้า กลายเป็นศูนย์หน้าคนใหม่ของสโมสร และเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะทำประตูได้อย่างต่อเนื่องให้ "เดอะ ทร็อตเตอร์ส" แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมทำผลงานดีขึ้นได้ และการจมอยู่ในโซนท้ายตารางก็ทำให้ นิโก้ ตัดสินใจย้ายทีมอีกครั้งทั้งที่จะเพิ่งต่อสัญญาในถิ่นรีบอค สเตเดี้ยม ไปจนถึงปี 2011
anelka

                           
2008-ปัจจุบัน : เชลซี
เชลซี ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญากับ อเนลก้า ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2008 และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวรวมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล 87 ล้านปอนด์ (ราว 6,090 ล้านบาท) เริ่มตั้งแต่การย้ายทีมครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุด
อเนลก้า ได้ประเดิมนัดแรกให้กับ "สิงห์บลูส์" ในเกมที่พบกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในเกมลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ก่อนจะทำประตูแรกให้เชลซีได้ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 4 ซึ่งเชลซี คว้าชัยเหนือ วีแกน 2-1 เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2008
ทีมชาติฝรั่งเศส
ผลงานในทีมชาตินั้น นิโก้ มีชื่ออยู่ในทีมชุดชิงแชมป์เยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี เมื่อปี 1997 ก่อนจะประเดิมทีมฝรั่งเศสชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมที่เสมอกับ สวีเดน 0-0 เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 1988
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วทำให้ อเนลก้า กลายเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมตราไก่ และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูโร 2000 มาครองได้สำเร็จ แต่จากการที่เขาหลุดโผฟุตบอลโลก 2006 ก็ทำให้เจ้าตัวโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนขู่ว่าจะหันหลังให้ทีมชาติ
อย่างไรก็ตาม เรย์มงด์ โดเมอเน็ค กุนซือทีมตราไก่ ก็กลับมาเรียกใช้บริการของดาวยิงวัย 28 ปีอีกครั้งในช่วงคัดยูโร 2008 และ เขาก็จะเป็นศูนย์หน้าตัวหลักร่วมกับ เธียร์รี่ อองรี ในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปที่จะมีขึ้นในช่วงซัมเมอร์นี้ด้วย
anelka 
ลับเฉพาะกับ นิโล่าส์ อเนลก้า 
- พ่อแม่ของ อเนลก้า เป็นชาวมาตินิค ซึ่งย้ายมาตั้งรกรากในประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1979 โดย นิโก้ ได้เปลี่ยนชื่อของเขาเป็น "อับดุล-ซาลาม บิลาล" เนื่องจากเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม โดยเขาได้แต่งงานกับ บาร์บาร่า เทาเซีย เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2007
- ในปี 2002 อเนลก้า ได้แสดงหนังในภาพยนตร์เรื่อง "Le Boulet" ซึ่งเขารับบทเป็นนักฟุตบอลชื่อว่า นิโกล่าส์ โดยเขาเคยเปิดเผยว่า หากตนเองแขวนสตั๊ดจากอาชีพนักฟุตบอลแล้ว เขาก็อยากจะทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เนื่องจาก เขามีเพื่อนที่ทำงานอยู่ในแวดวงนี้
เกียรติยศที่เคยได้รับ
อาร์เซนอล
1997-98 เอฟเอพรีเมียร์ลีก
1997-98 เอฟเอคัพ
1998-99 แชริตี้ชีลด์
เรอัล มาดริด1999-00 ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก
ปารีส แซงท์ แชร์แมง2001-02 อินเตอร์ โตโต้คัพ
เฟเนบาเช่
2004-05 ตุรกีพรีเมียร์ลีก

เชลซี
2008-09 เอฟเอคัพ 
ทีมชาติฝรั่งเศส
2000 แชมป์ยุโรป
2001 คอนเฟดเดเรชั่นคัพ
รางวัลส่วนตัว
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือน: 1998(กุมาพันธ์), 2008(พฤษจิกายน)
ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 1999, 2009
รองคำทองคำจากบาร์เคล : 2008/09
ผู้เล่นเยาวชนยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 1999

ประวัติตอร์เรส


ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : เฟอร์นานโด โฮเซ่ ตอร์เรส ซานซ์
วันเกิด : 20 มีนาคม 2527 (20 March 1984)
สถานที่เกิด : มาดริด, สเปน
สัญชาติ : สเปน
ส่วนสูง : 183 ซ.ม. (6 ฟุต 1)
น้ำหนัก : 70 ก.ก.

ฉายา: เอลนีโน่ (El Nino)
สโมสร : ลิเวอร์พูล (2007-ปัจจุบัน)
ตำแหน่ง : กองหน้า
เฟอร์นานโด ตอร์เรส เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1984 หรือปี พ.ศ. 2527 เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งพุ่งแรงชาว สเปน ที่ย้ายจากสโมสรบ้านเกิดอย่าง แอตเลติโก มาดริด มาสังกัดสโมสร ลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษในฤดูกาล 2007/08 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสร (26.5 ล้านปอนด์) เขาเกิดในกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน

ตอร์เรส อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนปัจจุบัน หากเขาเลือกไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด โชคชะตาจึงกำหนดให้เขาไปแจ้งเกิดที่ แอตเลติโก มาดริด ทีมคู่แข่งร่วมเมืองนั่นเอง ฉายาของเขาคือ เอลนีโน่ (El Nino) ที่มีความหมายว่า เด็กน้อย เนื่องมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และหล่อเหลาของเขานั่นเอง นอกจากแฟนฟุตบอลแล้ว เขาเองยังมีแฟนคลับ (สาวๆ) ที่ไม่ใช่แฟนฟุตบอลอีกมากมายทั่วโลก
Fernando Torres



ชีวิตในวันเด็ก

เป็นชาวเมืองมาริดโดยกำเนิด และหลงรักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ตอร์เรส วัยเด็ก นั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเด็กๆทั่วไปมากนัก ที่แตกต่างนิดหน่อยนั่นก็คือ กีฬาที่เขาเล่นมีเพียงแต่ ฟุตบอล พออายุ 5 ปีเขาได้ไปร่วมทีมฟุตบอลของศูนย์กีฬาแถวบ้านชื่อทีม ปาร์เก้ 84 โดยการผลักดันจากพ่อของเขานั่นเอง พ่อของเขาทำงานระหว่างที่ตอร์เรสไปเตะฟุตบอลโดยมีแม่บังเกิดเกล้าคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ตอร์เรส มักจะฝันอยู่เสมอว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับนักฟุตบอลหลายๆคนที่เขาเห็นในโทรทัศน์ และจากการสนับสนุนของครอบครัว รวมไปถึงคุณปู่ของเขา ผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของ แอตเลติโก มาดริด เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้เขาได้ตามหาในฝันวัยเด็ก 

ตอร์เรสเปล่งประกายของความเป็นยอดดาวเตะออกมาให้เห็น หลังจากพาทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า15ปีของแอตเลติโก้ มาดริด เป็นแชมป์ไนกี้ของภูมิภาคยุโรปในปี1998  และเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในระดับเยาวชนอีกด้วย
ปี1999ตอร์เรสเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพเต็มตัวกับสโมสร แอตเลติโก้ มาดริด ในปีแรกตอร์เรสเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสร และมีส่วนร่วมกับทีมชุดใหญ่เมื่อตอนอายุ16ปี
                      Fernando Torres
ฤดูกาว2000-2001 เป็นการออกสตาร์ทที่เลวร้ายของเขา หลังได้รับบาดเจ็บกระดูกแก้มแตกต้องพักยาวจนกระทั่งเดือนธันวาคม
ปี2001-2002 ก็ไม่ใช่ปีที่ดีของเขาเท่าใดนัก หลังยิงได้แค่6ประตู จากการลงเล่น36นัด ในเชกุนด้า ดิวิชั่น
2002-2003 เป็นปีแรกที่ตอร์เรสถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ และก็ทำได้ไม่เลว ยิงได้12ประตู จาก29นัด พาทีมตราหมีจบอันดับ11
ปี2003-2004 เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของตอร์เรส ที่กดไป19ประตูจาก35นัดปี 2005 ดูจะเป็นปีที่เผลงานของเขากลับแย่ลง เขายิงได้ 16 ประตูเท่านั้นและทีมก็ไม่ได้แชมป์อะไรตอร์เรส มีข่าวการโยกย้ายทีมมาโดยตลอดหลังจากฟุตบอลโลก ไม่ว่าจะเป็น เชลซี แมนยูฯ สเปอร์ ฯลฯแต่ที่เห็นจะชัดเจนขึ้นมาก็เห็นจะเป็นนัดหนึ่งในลาลีกา เมื่อเขาทำประตูได้และถอดปลอกแขนกัปตันซึ่งใต้ปลอกแขนเขียนว่า You?ll never walk alone ซึ่งเป็นสโลแกนของทีม ลิเวอร์พูล

ตอร์เรส ออกมายอมรับว่า เขาเองก็เป็นแฟนฟุตบอลตัวยงของทีม ซึ่งคงจะดีไม่น้อยหากวันหนึ่งเขาเองได้ไปเป็นสมาชิกของ เดอะ คอป แล้ววันนั้นก็มาถึงหลังจากยื้อยุด ฉุดกระชากกันมานานด้วยสนนราคาค่าตัวที่แพงลิบ ทำให้หลายๆทีมต้องยอมถอนตัว และเปิดทางให้ ลิเวอร์พูล ได้คว้าตัวมาร่วมทีมด้วยราคาเป็นประวัติการณ์ 26.5 ล้านปอนด์ สมใจเฮีย เบนิเตส และสาวกเดอะค็อป

2007-ปัจจุบัน : ลิเวอร์พูล

ค่าตัวในการเซ็นสัญญาของเฟร์นันโด ตอร์เรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดของลิเวอร์พูล แม้ว่าสื่ออังกฤษรายงานว่า ค่าตัวนักเตะอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านปอนด์ ราฟาเอล เบนิเตซยืนยันในการสัมภาษณ์กับสื่อสเปนว่า ค่าตัวอยู่ที่เกือบ 20 ล้านปอนด์ ยังมีรายงานอีกว่า ตอร์เรสยอมลดค่าเหนื่อยสำหรับการย้ายตัว หนังสือพิมพ์ The Times รายงานว่า ค่าตัวลดจาก 103,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสเปน เหลือ 90,000 ปอนด์
ในวันที่ 11 สิงหาคม2550 ตอร์เรสลงแข่งนัดเปิดตัวให้ลิเวอร์พูล โดยแข่งกับ แอสตันวิลลา และชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ตอร์เรสยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในการลงแข่งครั้งแรกในสนามแอนฟีลด์ ในวันที่ 19 สิงหาคม ในนาทีที่ 16 ผลเสมอ 1-1 กับเชลซี โดยวิ่งไปรับบอลจากการส่งของเจอร์ราร์ด ตอร์เรสเลี้ยงผ่านกองหลังเชลซี ทาล เบน ฮาอิม และยิงผ่านเมือผู้รักษาประตูปีเตอร์ เช็คเข้าไปตุงตาข่ายเชลซี
ตอร์เรสยิงแฮตทริกเป็นครั้งแรกให้สโมสร ในวันที่ 25 กันยายน ในนัดเยือน ถ้วยคาร์ลิงคัพกับเรดดิ้ง และชนะไป 4-2 [2] โดยประตูแรกของตอร์เรสในเกม คือประตูที่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1 ลูกที่สองของเขาทำให้ ลิเวอร์พูลนำ 3-2 และตามด้วยลูกปิดท้าย 4-2 หลังจากจบการแข่งขัน ตอร์เรสได้รับการคิดเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเนื่องจากตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ เขาจึงได้รับลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันเป็นของที่ระลึก 
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์2551 ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกแรกในลีกได้สำเร็จ ในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะทีมมิดเดิลส์โบร 3-2 และในวันที่ 5 มีนาคม ปีเดียวกัน ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0 ทำให้เฟร์นันโด ตอเรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติว่า เป็นผู้เล่นคนแรกต่อจากแจ็คกี้ บัลเมอร์ ที่เคยทำแฮตทริกในเกมที่แอนฟีลด์ติดต่อกัน 2 นัด ในปี 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่สามารถทำได้ ตอร์เรสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งเดือนกุมภาพันธ์ของพรีเมียร์ชิพอังกฤษ โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล
ในวันที่ 15 มีนาคม 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรสกลายเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมรส ต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ปี 1995-1996)ที่สามารถทำประตูในลีกได้เกินถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล เมื่อเขาทำประตูในนาทีที่ 47 ในเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะทีมเรดดิง 2-1 และหลังจากนั้น ตอร์เรสก็สามารถยิงประตูช่วยให้ทีมเอาชนะอินเตอร์ มิลานในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 สุดท้าย
วันที่ 13 เมษายน 2551 เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำประตูที่ 30 ของตัวเองให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-1 ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ และด้วยประตูนี้เอง ทำให้เฟร์นันโด ตอร์เรสสามารถทำสถิติ ยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด ในสนามแอนฟีลด์
               Fernando Torres
และในวันสุดท้ายของฤดูกาล ณ สนามของทีมสเปอร์สในวันที่ 11 พฤษภาคม 2551 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายของฤดูกาลนี้เป็นประตูที่ 33 ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกิน 30 ประตูในหนึ่งฤดูกาล โดยก่อนหน้านั้น มีเพียง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำได้ 30 ประตู ในปี 1996-1997 โดยเฉพาะวันที่ 4 พฤษภาคม 2551 ณ สนามแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมแมนฯ ซิตี้ ทีมชนะไป 1-0 โดยตอร์เรสเป็นผู้ยิงประตูตัดสินชัยชนะ ทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันเป็นนัดที่ 8 ในถิ่นแอนฟีลด์ ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ทำประตูในเกมลีกสูงต่อหน้าแฟนบอลในแอลฟีลด์ได้ 8 นัดติดต่อกัน โดยมี โรเจอร์ ฮันท์ ที่ทำได้อีกคนแต่ทำได้ในลีกดิวิชั่น 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60 ฤดุกาล 1961-1962
33 ประตู จาก 46 นัดในทุกรายการ เฉพาะเกมลีกเขาทำไป 24 ประตู จาก 33 นัดที่ลงแข่ง และทั้ง 24 ประตูไม่มีลูกจากจุดโทษเลย ทำให้ เฟร์นันโด ตอร์เรส ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ทำประตูสูงสุดเพียงปีแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกคนใหม่ และทำให้เขามีสถิติยิงปรตูเฉลี่ยทุกๆ 1.39 เกม ทำลายสถิติผู้เล่นที่ทำประตูเฉลี่ยสูงสุดให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรก ของ จอห์น อัลดิดจ์ (1.55 เกม) ได้อย่างสิ้นเชิง และยังเอาชนะนักเตะอย่าง เอียน รัช (1.63), โรเจอร์ ฮัน (1.65), ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (1.83). ไมเคิ่ล โอเว่น (1.91) และ เคนนี่ ดัลกลิช (2) ได้อีกด้วย และทุกนัดที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมลีกทีมจะไม่แพ้อีกด้วย และ 25 ประตู ใน 33 ประตูที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในสนามแอนฟีลด์อีกด้วย
หลังจากที่ฤดูกาล 2008-2009 เริ่มต้น ตอร์เรสเปิดตัวได้สวย ยิงประตูชัยดับซันเดอร์แลนด์1-0 ก่อนที่จะถูกอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าเล่นงานระหว่างเกมที่เสมอ แอสตันวิลล่า0-0 และหายหน้าไปจากสนามถึง3สัปดาห์ เขากลับมาอีกครั้งในเกมที่ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยน ลีกส์ และในเกมพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ กับ เอฟเวอร์ตัน ตอร์เรสก็ถูกเปลี่ยนลงมายิงประตูให้ลิเวอร์พูลชนะ2-0 ในวันที่27 กันยายน 2008 รวถึงในเกมแห่งฤดูกาลที่กลับมาชนะ3-2หลังจากตามหลังอยู่0-2 ซึ่งเขาก็ทำคนเดียว2ประตู
แต่อาการบาดเจ็บก็กลับมารังควานเขาอีกครั้งและก็เป็นแผลเก่า คราวนี้เกิดขึ้นช่วงที่เขาลงรับใช้ชาติ ทำให้เขาพลาดลงสนามไปถึงสามเกม รวมไปถึงเกมที่เขาเจอกับทีมเก่าอย่าง แอตเลติโก มาดริด แต่ประธานสโสรตราหมี เอ็นริเก้ เซเรโซ่ ก็เชิญเขาเป็นแขก v.i.p ที่สนาม บิเซนเต้ กัลเดร่อน
  
Fernando Torres
ตอร์เรสกลับมาลงสนามอีกครั้งในเกมที่ถล่มเวสบรอมวิช อัลเบี้ยน 3-0 เขาลงเล่น72นาที และอาการบาดเจ็บก็ถามหาเขาอีกจนได้ คราวนี้เกิดขึ้ในเกมที่เจอกับโอลิมปิก มาร์กเซย์ ที่เฉือนเอาชนะได้1-0 และก็เป็นอาการบาดเจ็บที่เก่า(เอ็นหลังหัวเข่า) ราฟาเอล เบนิเตซ ตัดสินใจให้เขาพักยาว1เดือน เพื่อไม่ให้กำเริบขึ้นมาอีก ตอร์เรสมีปัญหาอาการบาดเจ็บตลอดในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล2008-209 อย่างไรก็ตามเขาก็มีชื่อติดอยู่หนึ่งในตัวเต็งที่จะได้ลุ้นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่า(บัลลังร์ ดอร์) ที่จะประกาศในเดือน ธันวาคม และผลออกมาเขาได้อันดับที่สาม รองจาก คริสเตียโน่ และ ลีโอเนล เมสซี่ตามลำดับ
ตอร์เรสกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ลงมาเป็นตัวสำรองในเกม เอฟเอคัพ รอบสาม และเขายิงได้1ประตูในเกมที่เอาชนะ เปรสตัน นอร์ท เอนด์1-0 นับเป็นประตูแรกของเขาที่ทำได้ในถ้วยนี้ด้วย จากนั้นเขายิงสองประตูสำคัญในเกมที่บดเอาชนะเชลซี2-0 ในวันที่1กุมภาพันธ์ 2009 
ถึงแม้ว่าตอร์เรสจะอยู่กับสโมสรลิเวอร์พูลเพียงแค่ปีครึ่งเท่านั้น แต่ก็เขาก็ได้ถูกเลือกเป็น1ใน50นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของสโมสร
มาถึงเกมสำคัญในวันที่10 มีนาคม 2009  เป็นศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยน ลีกส์ รอบ16ทีม ที่สนามแอนฟิลด์ ตอร์เรสต้องฉีดยาลงสนามจากอาการบาดเจ็บข้อเท้า แต่เขาก็ยิงได้1ประตู ก่อนจะถล่มไป4-0ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม5-0 สี่วันให้หลังเป็นการเปิดศึกแดงเดือด ลิเวอร์พูลต้องไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอร์เรสก็ทำประตูได้อีก ก่อนจะถล่มไป4-1 
ตอรเรสยิงประตูครบ50ลูกให้กับลิเวอร์พูลในเกมลีก2008-2009นัดสุดท้ายกับสเปอร์ และในช่วงปิดฤดูกาล เขาก็ต่อสัญญาฉบับใหม่กับลิเวอร์พูลไปจนถึง2013
 
ผลงานในระดับชาติ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ตอร์เรสชนะเลิศทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟกับทีมชาติสเปนชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ในเดือนพฤษภาคม ทีมีได้ลงแข่ง ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และชนะเลิศ โดยตอร์เรสยิงประตูชัยซึ่งเป็นประตูเดียวในนัดชิงชนะเลิศ ตอร์เรสยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขัน (7 ประตูใน 6 เกม) และได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยม
ในปี 2546 ตอร์เรสได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกให้กับทีมชาติสเปน ในวันที่ 6 กันยายน 2546 ในการแข่งกระชับมิตรกับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในวันที่ 28 เมษายน 2547 โดยแข่งกับอิตาลี เมื่อปิดฤดูกาล ตอร์เรสได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสเปน เพื่อแข่งในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 2547 ตอร์เรสได้ลงสนาม โดยการเปลี่ยนตัว ใน 2 เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มของสเปน แต่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในการแข่งนัดชี้ชะตากับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงชนเสาในนาทีที่ 62 หลังจาก นูโน โกเมสยิงให้โปรตุเกสนำ ในนาทีที่ 57 สเปนแพ้ไป 1-0 และตกรอบ
ในการลงแข่งครั้งแรกในฟุตบอลโลกในปี 2549 ในเยอรมนี ตอร์เรสยิงประตูสุดท้าย ในเกมที่ชนะยูเครน 4-0 ด้วยลูกวอลเลย์ ในนัดที่สองรอบแบ่งกลุ่ม ตอร์เรสยิง 2 ประตูในนัดเจอตูนีเซีย ประตูแรกในนาทีที่ 76 ทำให้สเปนนำ 2-1 และอีกลูกจากจุดโทษ ในนาทีที่ 90 ตอร์เรสไม่ได้ลงในนัดกระชับมิตรกับโรมาเนีย ในเดือนพฤศจิกายน 2549 แต่ได้ลงเล่นในนัดกระชับมิตรกับอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยสเปนชนะไป 1-0
ตอร์เรสถูกเรียกตัวเข้าไปเล่นฟุตบอลยูโร2008 ที่ออสเตรีย กับสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเจ้าภาพร่วม เขาเป็นคนเปิดบอลให้กับ ดาบิด บีย่า ยิงประตูแรกของทัวร์นาเมนต์นี้ ในนัดแรกที่เจอกับรัสเซีย หลังจากที่เปลี่ยนตัวออก ตอร์เรสไม่พอใจ ถึงขนาดไม่จับมือกับ หลุยส์ อาราโกเนส เทรนเนอร์ทีมชาติสเปน แต่เขาก็มายิงประตูแรกของตัวเองได้สำเร็จในเกมที่เฉือนชนะสวีเดน2-1 และตอร์เรสก็เป็นพระเอกในนัดชิงชนะเลิศ ยิงประตูชัยเฉือนชนะ1-0 พร้อมกับได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเกมนี้ด้วย "ในที่สุดฝันของผมก็เป็นจริง นี่เป็นแชมป์แรกของผม นี่เป็นรายการใหญ่รองจากฟุตบอลโลก ผมมีความสุขจริงๆ"
    
                                                         

ตอร์เรสมีชื่ออยู่ในทีมชาติสเปนชุดคอนเฟดเดอเรชั่นคัพ 2009 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ และเขาก็เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการซัดแฮตทริก17นาทีแรก ในแมตซ์ที่ถล่มสเปน5-0 และเป็นแฮตทริกที่เร็วที่สุดของเขาในชุดทีมชาติด้วย
แต่ในท้ายที่สุดแล้วสเปนก็ต้องอกหักไปไม่ถึงดวงดาว หลังจากพ่ายอเมริกาไปอย่างเหลือเชื่อในรอบรองชนะเลิศ0-2
ลับเฉพาะกับ เฟร์นานโด ตอร์เรซ
- ตอร์เรสสนิทกับเพื่อนร่วมทีมชาติสเปน เซร์คีโอ รามอส กองหลังดาวรุ่งของ เรอัล มาดริด
- ตอร์เรสเดทกับแฟนสาวโอลายา (Olalla) ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเขารู้จักตั้งแต่อายุแปดขวบ โดยครอบครัวของตอร์เรส ย้ายไปอยู่บ้านในถนนเดียวกับแฟนสาวในกาลิเซีย
- ตอร์เรสแสดงหนังในมิวสิกวิดีโอ เอลกันโตเดลโลโก ของ 'Ya Nada Volvera a Ser Como Antes'
- ตอร์เรส รับบทนักแสดงสมทบใน Torrente 3 ซึ่งเป็นหนังตลกสเปน ในปี 2548 เขาแสดงเป็นตัวเองและหลบหลีกอันตราย โดยเตะลูกระเบิดมือ เหมือนกับเป็นลูกฟุตบอล
- เขาสักชื่อ "Fernando" ที่ด้านในแขนซ้าย ด้วยภาษาTengwar สักหมายเลข 9 ที่ด้านในแขนขวา และสักวันที่ 7-7-2001 เป็นตัวเลขโรมัน ที่ด้านในน่องขวา
เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร
แอตเลติโก มาดริดแชมป์
- สเปน ดิวิชั่น 2: พ.ศ. 2544-45
- ไนกี้คัพ ยุโรป ปี 2541 (บอลเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี)

ทีมชาติสเปนแชมป์ ทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟ ปี 2544 รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี
ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ปี 2544      
ปี 2545 ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี
แชมป์ยูโร2008

ระดับส่วนตัวแชมป์
ผู้เล่นยุโรปยอดเยี่ยม รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ปี 2541
ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด ( 7 ลูก ใน 6 เกม ) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ปี 2544
ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด ( 4 ลูก ใน 4 เกม ) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ปี 2545
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ฤดูกาล 2007-2008 พรีเมียร์ชิพอังกฤษ
ดาวซัลโวสูงสุดประจำสโมสรลิเวอร์พูล ฤดูกาล2007-200
ทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ฟุตบอล ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ ปี2008
ทีมยอดเยี่ยมฟิพโปร11:2007-2008



เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

2001-2007 : แอตเลติโก มาดริด

แล้วฝันนั้นก็เริ่มเปิดทางให้เขาเมื่อเขาอายุได้ 10 ปี เขาได้เล่นให้กับทีม ราโย 13 (Rayo 13) ทีมแรกในชีวิตการเล่นฟุตบอล (จริงๆ) เขาฉายแววด้วยการทำประตูถึง 55 ประตู ทำให้ได้โควต้าการคัดเลือกเข้าฝึกหัดเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสร แอตเลติโก มาดริด อายุ 12 ปีเขาก็ติดชุด จูเนียร์ทีมบี จนกระทั่งอายุ 15 ปี เขาได้ทำการเซ็นสัญญาฉบับแรกในฐานะนักเตะทีม เยาวชน ฝันของเขาเป็นจริงแล้ว

ประวัติดร็อกบา


นับตั้งแต่ย้ายมาเป็นสมาชิกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อปี 2004 ดร็อกบา ก็กลายเป็นหนึ่งในศูนย์หน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป และเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้เชลซีผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 2 สมัยด้วย
          หัวหอกทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ที่สื่อเรียกขานกันว่า "The Drog" เป็นนักเตะที่ถือว่าแจ้งเกิดค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มักจะเริ่มเจิดจรัสกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
          อย่างไรก็ตาม แม้อายุจะใกล้แตะเลข 3 เข้าไปทุกขณะ แต่ ดร็อกบา ก็ยังมีพร้อมทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความทุ่มเท ที่พร้อมจะสร้างความหนักใจให้กองหลังทีมคู่แข่งได้เสมอ จนมีข่าวว่า บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน พร้อมจะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงไล่ตาข่าย
         ดร็อกบา ระเบิดฟอร์มได้สุดยอดในฤดูกาล 2006/07 เมื่อเหมาคนเดียวถึง 33 ประตูรวมทุกรายการ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูให้เชลซีได้มากที่สุด นับตั้งแต่ที่ เคอร์รี่ ดิ๊กสัน เคยทำได้ในฤดูกาล 1984/85 และ 20 ประตูที่ทำได้ในลีก ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ชิพไปครอง
         นอกจากนั้น การลงสนามทั้งหมด 60 นัด ยังทำให้เขาเป็นนักเตะที่ลงสนามต่อซีซั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย
         ไม่เพียงแต่จะทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ดร็อกบา ยังมักจะเป็นคนทำประตูสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงการเหมาคนเดียว 2 ลูกให้ "สิงห์บลูส์" เอาชนะ อาร์เซน่อล 2-1 พร้อมกับคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ไปครองในปี 2007, ทำประตูได้ในเกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า ทั้งเหย้าและเยือน ก่อนจะกลายเป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรก ที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ ซึ่งเป็นประตูชัยที่ทำให้เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

         ดร็อกบา ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมเชลซี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ (ราว 1,680 ล้านบาท) พร้อมกับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก เอิง ฝรั่งเศส เป็นเครื่องการันตีความสามารถ
         นักเตะผู้พาไอวอรี่โคสต์ได้ร่วมสังฆกรรมในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2006 ย้ายจากทวีปแอฟริกา มาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กขวา
         หลังจากที่ได้เล่นให้กับสโมสรเล็กๆ มาแล้วหลายครั้ง ดร็อกบา ก็ตัดสินใจที่จะปฏิเสธข้อเสนอการทดสอบฝีเท้ากับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนจะร่วมทีม เลอ ม็องส์ ในดิวิชั่น 2 ของเมืองน้ำหอม และเลื่อนขึ้นมาเล่นในลีก เอิง กับ แก็งก็อง
         การทำได้ 17 ประตูในฤดูกาล 2002/03 ได้เตะตาโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ขณะนั้นยังเป็นผู้จัดการทีมของปอร์โต้ ทว่า ทีมดังของโปรตุเกส ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ดร็อกบา มาร่วมล่าตาข่ายได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายซบ มาร์กเซย
        ในฤดูกาลที่ 2 กับโอแอ็ม หัวหอกไอวอรี่โคสต์ ก็ซัดไป 18 ประตูจากการลงสนามในลีก 35 นัด และทำได้ 6 ประตูในการแข่งขันยูฟ่า คัพ ซึ่งมาร์กเซย ทะยานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
        จากนั้น "เดอะ ดร็อก" ก็ได้เซ็นสัญญากับ เชลซี ซึ่งมี มูรินโญ่ เป็นนายใหญ่ของทีม และกลายเป็นกำลังสำคัญในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 จวบจนถึงปัจจุบัน
        นอกจากจะเป็นศูนย์หน้าที่เชลซีแทบจะขาดไม่ได้แล้ว ดร็อกบา ยังเป็นกัปตันทีมชาติไอวอรี่โคสต์ด้วย และผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006 ไปครอง โดยเขาติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในเกมที่เสมอกับแอฟริกาใต้ 0-0 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2002 และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม "ช้างดำ" ในเวลานี้หลังทำไปแล้ว
        ในกลางฤดูกาล 2007/08 มูรินโญ่ ผู้เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของเขา โดนเด้งออกจากทีม ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เขาเศร้ามาก ถึงขนาดเคยเปรยว่าจะออกจากทีมเลยทีเดียว แต่ก็ทนอยู่กับทีมมาอีกได้ในท้ายที่สุด
        ช่วงต้นฤดูกาล 2008/09 ดรอกบามีปัญหาปืนฝืด ทำให้โค้ชสโคลารี่ ดรอปเขาเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ครั้นพอสโคลารี่ โดนเด้งออกไป และคนที่มาแทนคือ กุส ฮิดดิ้ง ความคมของดรอกบาก็กลับมาทันที จนจบฤดูกาลด้วย 15 ประตูจากการลงเล่น 39 นัด
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : ดีดิเย่ร์ อีฟ ดร็อกบา เตบิลี่
วันเกิด : 11 มีนาคม 1978
เกิดที่ : อาบิดิยัน, ไอวอรี่โคสต์
ตำแหน่ง : กองหน้า
ส่วนสูง : 189 ซม.
สโมสรปัจจุบัน : เชลซี
หมายเลขเสื้อ : 11
 สโมสรอาชีพ
ปี
 สโมสร
 ลงเล่น
 ประตู

1998 - 2002 เลอ ม็องส์ 63 12
2002 - 2003 แก็งก็อง 45 20
2003 - 2004 มาร์กเซย 35 18
2004 - ปัจจุบัน เชลซี 209 95


    ทีมชาติ 2002 - ปัจจุบันไอวอรี่โคสต์ 61 38

 ความสำเร็จในการเล่นอาชีพ
- นักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2007 กับเชลซี
- ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2006/07 กับเชลซี (20 ประตู)
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005/2006 กับเชลซี
- แชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ กับ เชลซี ในปี 2005
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004/2005 กับเชลซี
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2005 กับเชลซี
- รองแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2004 กับ มาร์กเซย

ประวัติโรนัลดินโญ่

                                                                               โรนัลดินโญ่

โรนัลดินโญ่ ยอดเพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิเลี่ยน ซึ่งโด่งดังมากสมัยค้าแข้งอยู่กับทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า มหาอำนาจลูกหนังศึกลาลีกา สเปน เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี ค.ศ.1980 ที่เมืองปอร์โต้ อเลเกร ในบราซิล มีชื่อเต็มๆว่า “โรนัลโด้ เดอ แอสซิส โมเรร่า” แต่รู้จักกันทั่วไปในนามของ โรนัลดินโญ่ เกาโช่ โดยคำว่า “โรนัลดินโญ่” ในภาษาโปรตุเกส แปลว่า “โรนัลโด้น้อย” นั่นเอง และการใช้ชื่อนี้ของเขาก็แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นยอดนักเตะของโลก เฉกเช่นเดียวกัน โรนัลโด้ กองหน้าซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ในทีมชาติบราซิล ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำสำเร็จแล้ว
ทักษะอันสุดยอดของ โรนัลดินโญ่ เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ในวัยเด็กที่เขาหลงใหลในการเล่นทั้งฟุตบอลโต๊ะเล็กตามท้องถนน และบนพื้นทรายของชายหาดในเมือง ปอร์โต้ อเลเกร บ้านเกิด ในวัย 13 ปี ก่อนที่จะพัฒนามาสู่การเล่นฟุตบอล 11 คน ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักโด่งดังผ่านสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อสร้างประวัติศาสตร์ยิงประตูในการแข่งขันระดับเยาวชนภายในประเทศได้อย่างถล่มทลาย และหลังจากการเป็นดาวเด่นในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกอายุต่ำกว่า 17 ปี ก่อนที่ในที่สุด เขาจะได้ร่วมทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมจากในบราซิลจนถึงทวีปยุโรปอย่างเช่นในปัจจุบัน 
ก้าวเข้าสู่อาชีพลูกหนัง
1998-2001 : เกรมิโอ
“เหยินน้อย” เริ่มอาชีพนักเตะ กับสโมสรเกรมิโอ ใน บราซิล ตั้งแต่ปี 1998-2001 ในฐานะนักเตะเยาวชนของสโมสร ก่อนจะได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสรเป็นครั้งแรกในปี 1998 โดยเกิดขึ้นในเกมลิเบอร์ดาโดเรส คัพ หลังจากนั้นมาเป็นต้นมา ความสามารถของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจไปกับทักษะการควบคุมลูกบอลและความสามารถในการยิงประตูของ โรนัลดินโญ่ ส่งผลให้ในปี 1999 โรนัลดินโญ่ ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น

ดูเหมือนว่า ฟุตบอลในบราซิลกลายเป็นโลกที่เล็กไปสำหรับ โรนัลดินโญ่ ในที่สุดในปี 2001 เขาก็เดินทางมาสู่ยุโรปเซ็นสัญญาค้าแข้ง 5 ปี กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมดังในฝรั่งเศส ด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษ โดย เปแอสเช ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ เกรมิโอ จำนวน 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 157.5 ล้านบาท) แม้ว่า โรนัลดินโญ่ จะหมดสัญญากับ เกรมิโอ และกลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2001 ก็ตาม
2001-2003 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
แม้ว่าจะเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์สูงสุด แต่กับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป ทำให้เจ้าเหยินเล็กประสบกับปัญหาในการปรับตัว ทั้งนี้ มีข่าวเป็นระยะๆ ว่า หลุยส์ แฟร์น็องเดซ โค้ชของทีมไม่ค่อยพอใจและมีความเห็นว่า โรนัลดินโญ่ เสียสมาธิไปกับการท่องราตรีมากกว่าที่จะมุ่งมั่นกับเกมฟุตบอล รวมทั้งยังมีปัญหาในเรื่องระเบียบวินัยอีกด้วย อันส่งผลให้ฟอร์มการเล่นก็เจ้าตัวก็ไม่คงเส้นคงวานัก เพราะเมื่อเจอกับทีมใหญ่ โรนัลดินโญ่ จะเล่นได้อย่างโดดเด่น แต่ในทางกลับกัน หากเล่นกันทีมที่เล็กกว่า เจ้าเหยินน้อยก็จะหายไปจากเกม

หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ทำให้ โรนัลดินโญ่ กลายเป็นทีมต้องการของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป และในปี 2003 โรนัลดินโญ่ ประกาศกร้าวว่าต้องการย้ายออกจาก เปแอสเช หลังจากที่สโมสรไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ประกอบกับการที่เขามีปัญหาขัดแย้งกับเทรนเนอร์ของทีม ซึ่งทำให้หลังจากนั้น มีข้อเสนอมากมายเข้ามาสู่ทีมดังแห่งปารีส ก่อนที่ บาร์เซโลน่า ภายใต้การนำของ โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรคนปัจจุบัน จะทุ่มเงิน 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,386 ล้านบาท) เบียดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัวเหยินน้อยมาสู่ คัมป์ นู จนได้
2003-2008 : บาร์เซโลน่า
โรนัลดินโญ่ เกือบจะไม่ได้ย้ายมาพาบาร์เซโลน่า เพราะหลังจากที่ โจน ลาปอร์ต้า ทนายหนุ่มไฟแรง ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานสโมสรบาร์เซโลน่า ในปี 2003 ด้วยนโยบายที่จะคว้าซูเปอร์สตาร์มาสู่คัมป์ นู ทันทีที่เขาได้รับตำแหน่ง แต่ในตอนแรกนั้น ลาปอร์ต้า ต้องการตัว เดวิด เบ็คแฮม ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ ที่ตอนนั้นกำลังจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เดชะบุญที่ เบ็คแฮม ไม่เลือก บาร์ซ่า ทั้งที่ว่ากันว่า แมนฯยูฯ พร้อมจะขายเขามาสู่คัมป์ นู อยู่แล้ว  และโชคดีที่ทาง เรอัล มาดริด คู่ปรับของบาร์ซ่า ก็ต้องการตัวหนุ่มเบ็คส์ เช่นกัน ก่อนที่ เบ็คแฮม จะไปลงเอยกับ รีล มาดริด ทำให้ ลาปอร์ต้า ต้องเบนเข็มมาล่า โรนัลดินโญ่ แทน
ก่อนเริ่มฤดูกาล 2003-2004 บาร์เซโลน่า ทำการเปิดตัวหัวหอกรายใหม่ของทีมในเกมนัดพิเศษที่พบกับ เอซี มิลาน ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 45,000 คน ในสนาม อาร์เอฟเค สเดเดี้ยม ณ กรุงวอร์ชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดย บาร์เซโลน่า เอาชนะไปได้ 2-0 และ ก็เป็น โรนัลดินโญ่ ที่ซัดประตูที่ 2 ได้ด้วย ในนาทีที่ 51 ของเกม ส่งผลประตูนี้กลายเป็นประตูแรกของเจ้าเหยินน้อยในสีเสื้อบาร์ซ่า อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขัน โรนัลดินโหญ่ ก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน และกว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งแต่เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของซีซั่น แต่ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป เพราะ โรนัลดินโญ่ โชว์ฟอร์มได้สมราคา ด้วยการพาทีมบาร์ซ่า ได้รองแชมป์ลา ลีกาฤดูกาลแรกในสเปน โรนัลดินโญ่ ได้


ในฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่ ประสานงานกับ ซามูเอล เอโต้, เดโก้, ชาบี, ลูโดวิช ชูลี่ และ เฮนริค ลาร์สสัน ช่วยให้ทีมบาร์ซ่าประกาศศักดา คว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้ เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมี แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือหนุ่มชาวดัตช์ เป็นผู้นำทัพ ด้วยระบบ 4-3-3 อันลือลั่น ส่งผลให้ฤดูกาลนี้เอง โรนัลดินโญ่ ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกจากฟีฟ่า ไปครองในวันที่ 20 ธันวาคม 2004
อย่างไรเสีย โรนัลดินโญ่ ก็ไม่สามารถ บาร์เซโลน่า พาไปได้ไกลในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากที่ โดน เชลซี เขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเจ็บใจ แม้เกมนั้น โรนัลดินโญ่ จะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดนทำคนเดียวถึง 2 ประตูก็ตาม ส่งผลให้ชื่อของ โรนัลดินโญ่ ได้กลายเป็นที่หมายปองของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะ เชลซี ที่ตกเป็นข่าวยอมทุ่มถึง 60 ล้านปอนด์ สำหรับค่าตัวของเขา (ประมาณ 3,960 ล้านบาท)
ปลายฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่ ซึ่งในตอนนั้น สัญญาจะหมดลงในปี 2008 ปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับทีม บาร์ซ่า ออกไปจนถึงปี 2014  และในปีถัดมา เขาก็ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับกับทีมออกไปเพียง 2 ปี เท่านั้น โดยในสัญญาได้เปิดช่องว่า เขามีสิทธิ์ย้ายออกจากถิ่น คัมป์ นู ได้ หากสโมสรต้นสังกัดได้รับข้อเสนอซื้อตัวในราคา 85 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,610 ล้านบาท)
ในฤดูกาล 2005-2006 โรนัลดินโญ่ ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ด้วยการพาทีม บาร์เซโลน่า ผงาดคว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน  ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” คว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2007 พร้อมกับตบท้ายด้วยการที่ โรนัลดินโญ่ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ไปครองอีกหนึ่งรางวัล

ต้องเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จของ โรนัลดินโญ่ เพราะในฤดูกาลนี้ เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ประจำปี 2005 มาครอง ซึ่งถือเป็นการรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันของเขา  นอกจากนั้น ยังคว้ารางวัลบัลลงดอร์ หรือนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป ของนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล มาครองได้  รวมถึงคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ ฟิฟโปร อีกด้วย
ในฤดูกาล 2006-2007 โรนัลดินโญ่ ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ทั้งในเกมลีก และเกมสโมสรยุโรป อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาทีม บาร์ซ่า ป้องกันแชมป์ ลาลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ โดยในเกมลีกนั้น พวกกเขาต้องโดน เรอัล มาดริด ฉกถ้วยไปครองได้ในปีนี้ ขณะที่ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น พวกเขาก็ต้องจอดป้ายแค่เพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม โรนัลดินโญ่ ก็ยังสามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ สโมสรโลกได้เป็นการปลอบใจหลังขย่ม เอาชนะ คลับ อเมริกาไป 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ และในปีนี้ โรนัลดินโญ่ ยังได้มีโอกาสขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลเยี่ยมของโลกอีกครั้ง แต่ก็ในฐานะอันดับ 3 โดยต้องหลีกทางให้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ คว้ารางวัลไปครอง ด้วยผลงานกับการคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอิตาลี ในปี 2006 
ฤดูกาล 2007-2008 โรนัลดินโญ่ ไม่ค่อยได้ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า มากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ดี เขาก็กลับมาลงสนามนัดที่ 200 ในทีมบาร์เซโลน่า ได้อีกครั้ง ในเกมที่พบกับ โอซาซูน่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2008 ก่อนที่จะต้องหยุดพักยาวทั้งฤดูกาล หลังได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาขวาอย่างหนักระหว่างการฝึกซ้อม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2008 พร้อมกับกระแสข่าวการย้ายทีมของ โรนัลดินโญ่ ที่ประทุขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น โดยมีหลายทีมยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, เอซี มิลาน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
2008-ปัจจุบัน : เอซี มิลาน
เอซี มิลาน ทีมดังจากอิตาลี ใช้เงิน 18.5 ล้านยูโร ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งเหยินน้อย ปฏิเสธเงินจำนวนมหาศาลในการที่จะย้ายไปร่วมทีม แมนซิตี้ ซึ่งมีบักแม้วเป็นเจ้าของอยู่ในขณะนั้น ที่ทุ่มเงินซื้อถึง 32 ล้านยูโร!! และเข้าๆออกๆระหว่างตัวจริงกับตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง กับทีมเอซี ในปัจจุบัน และเมื่อ กาก้า ถูกขายออกจากทีมไป ก็ทำให้เขา ได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยครั้งขึ้น

ทีมชาติบราซิล
โรนัลดินโญ่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนของทีมชาติบราซิลที่ติดทีมชาติทุกรุ่นอายุ ไล่ตั้งแต่ ชุดยู-15, ยู-17, ยู-20 และ ยู-23 จนกระทั่ง มาติดทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ใน วันที่ 26 มิถุนายน ปี 1999 และเขาก็แจ้งเกิดได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการยิงประตูชัยให้ทีมเซเลเซาเฉือนเอาชนะเวเนซุเอลา รวมทั้งช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาครองได้อย่างงดงามหลังถล่มเอาชนะอุรุกวัยมาได้ในรอบชิงชนะเลิศ 3-0 ก่อนที่เขาจะโชคร้าย อดลงเล่นเกมนัดชิงฯ ในศึก คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 1999 จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ บราซิล พ่ายต่อ เม็กซิโก ไปอย่างน่าเสียดาย 3-4
ในปี 2002 โรนัลดินโญ่ ก้าวสู่จุดสูงสุดจุดหนึ่งของการเป็นนักเตะ ด้วยการพาทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ที่เอเชีย ซึ่งมีเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ สำเร็จ จากสามประสานในเกมรุกที่มีเขา, โรนัลโด้ และ ริวัลโด้ (3 R's) ทำเดินร่วมกัน  โดยไฮไลต์สำคัญของเขา คือ การยิงลูกลักไก่ระยะไกลกว่า 35 เมตร ข้ามหัว เดวิด ซีแมน นายทวารทีมชาติอังกฤษ ในขณะนั้น เป็นประตูชัยให้ บราซิล เอาชนะ อังกฤษ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนจะก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ ในท้ายที่สุด แม้ว่าในแมตช์นั้นเขาจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม จากการไปทำฟาวล์อย่างน่าเกลียดใส่ แดนนี่ มิลล์ส แบ๊กขวาของทีม “สิงโตคำราม” ก็ตาม

ในปี 2005 โรนัลดินโญ่ รับบทสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติบราซิล ลงทำศึก คอนเฟเดอเรชั่นคัพ ปี 2005 และเขาก็นำลูกทีมผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม ด้วยการเอาชนะ อาร์เจนติน่า ได้อย่างท้วมท้น 4-1 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2005 และก่อนที่จะมาสู่ศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ซึ่ง โรนัลดินโญ่ ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิม แต่ทว่า ฟอร์มการเล่นของเขากลับน่าผิดหวังไม่น้อยในสายตาของแฟนบอล โดยเขาไม่สามารถยิงประตูได้เลยในการลงสนาม 5 นัด และยังเป็นคนจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ครั้งเดียวเท่านั้น (ในเกมที่ชนะ ญี่ปุ่น 4-1) ก่อนที่จะโดน ฝรั่งเศส เขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปในท้ายที่สุด
หลังจากสิ้นเสร็จศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศ เยอรมัน  โรนัลดินโญ่ ก็เข้าๆ ออก ในทีมตัวจริงของทีมชาติบราซิล อยู่บ่อยครั้ง โดยเขาลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ คาร์ลอส ดุงก้า เทรนเนอร์คนใหม่ไปเพียง 3 จาก 5 เกมที่เป็นทางการเท่านั้น (2 ใน 3 เป็นการเล่นในฐานะตัวสำรอง) อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 มีนาคม 2007 โรนัลดินโญ่ กลับมาลงให้กับทีมชาติบราซิล ในฐานะตัวจริงครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2006 ในเกมที่เขาจัดการเหมาสองประตูช่วยให้ บราซิล ถล่มเอาชนะ ชิลี ไปได้ 4-0 และเป็นการหยุดสถิติที่เขายิงประตูในเกมทีมชาติไม่ได้เลยเป็นเวลาเกือบๆ 2 ปี ได้สำเร็จ และในปี 2008 โรนัลดินโญ่ มีชื่อเป็นหนึ่งในนักเตะที่จะติดฟุตบอลทีมชาติบราซิลไปลุยศึกโอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในฐานะโควตา นักเตะอายุเกิน 23 ปี ร่วมกับ ติอาโก้ ซิลวา และ โรบินโญ่ อย่างไรก็ตาม ทางบาร์ซ่า ก็ได้ ออกมาเบรกไม่ให้ เหยินน้อย ไปร่วมทีมในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนว่าก็จะไม่เป็นผล
จากการที่ฉายฟอร์มเพชฌาตกับทีมเอซี มิลาน ไม่ได้เลย ทำให้ดุงก้า ไม่เรียกเขาติดทีมชาติ ในศึกคอนเฟด 2009 ล่าสุด ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า อนาคตของเขา กับทีมชาติ ได้หมดลงแล้ว
ข้อมูลและชีวิตส่วนตัว
โรนัลดินโญ่ มีเอเย่นต์ประจำตัว คือ โรแบร์โต้ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาที่เคยเดินทางสายลูกหนังเหมือนกับโรนัลดินโญ่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านัน หลังจากที่โรแบร์โต้ ตรวจพบว่า เป็นโรคหัวใจ ขณะที่ พี่สาวของเขา ซึ่งมีนามว่า เดซี่ ก็เป็นผู้ประสานงานกับสื่อต่างๆ ให้กับตัวของ โรนัลดินโญ่

โรนัลดินโญ่ ได้เป็นพ่อคนครั้งแรก ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2005 หลังจากที่ ยาไนน่า นาตเตียลเล่ เวียนา เมนเดส  แฟนชาวชาวบราซิล ให้กำเนิดลูกชาย โดย โรนัลดินโญ่ ตั้งชื่อให้ว่า เจา ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง
เกียรติประวัติที่ได้รับ
สโมสร
ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999
ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท คัพ : 1999
อินเตอร์ โตโต้ คัพ: 2001
สแปนิช ลีกา: 2005, 2006
ซูเปอร์โคปปา เดอ เอสปาน่า: 2005, 2006
ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก: 2006
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ 2006: (รองแชมป์)
ทีมชาติบราซิล
ฟีฟ่า ยู-17 เวิร์ลด คัพ : 1997
โคปป้า อเมริกา : 1999
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ : 2002
คอนเฟดเดเรชั่นส คัพ : 2005
 ส่วนตัว
125 อันดับสุดยอดนักฟุตบอลที่ยังมีชีวิตอยู่ของเปเล่
สุดยอดนักเตะระดับโลกของฟีฟ่า : 2004, 2005
ผู้เล่นระดับโลกแห่งปี : 2004, 2005
สุดยอดนักฟุตบอลในทวีปยูโรป : 2005
นักเตะระดับโลกแห่งปี ของฟิฟโปร: 2005, 2006
ติดสุดยอดทีมของฟิฟโปร : 2005, 2006, 2007
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า : 2005-06
ตัวรุกยอดเยี่ยมของยูฟ่า : 2004-05
ติดทีมประจำปีของยูฟ่า : 2004, 2005, 2006
ยอดนักเตะต่างชาติในแดนลา ลีกา: 2004, 2006
รางวัล อีเอฟอี โทรฟี่ : 2004
ติดออลสตาร์ของฟีฟ่า : 2002
รางวัลฟุตบอลสีบรอนซ์ ของฟีฟ่า : 2006
ดาวซัลโว คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
บอลทองคำ คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
ดาวซัลโว ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999